ความเคลื่อนไหวการเข้าทำการซื้อขายของบริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAV ปิดการซื้อขายช่วงเช้า ที่ 17.90 บาทต่ำจากราคาจองซื้อที่ 19.00 บาท หรือลดลง 5.79% ทั้งนี้การปรับตัวลดลงดังกล่าว ส่งผลต่อราคาหุ้นของ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART ปรับตัวลดลงด้วย โดยลดลงมาอยู่ที่ 5.30 บาท หรือ ลดลง 10.92% ทั้งนี้ SAMART เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน SAV เกือบ 75%
บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของ SAV ธุรกิจให้บริการบริหารจัดการควบคุมการจราจรทางอากาศทั่วน่านฟ้าประเทศกัมพูชาของบริษัทย่อย (CATS) เป็นธุรกิจผูกขาดที่บริษัทได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก เนื่องจากบริษัทเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาจนได้รับสัมปทานแต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่การเสนอราคาแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่น สะท้อนถึงการไม่มีคู่แข่งในอุตสาหกรรม รวมทั้งการบริหารจัดการควบคุมการจราจรทางอากาศต้องใช้ความเชี่ยวชาญและเงินลงทุนที่สูง ทั้งระบบ อุปกรณ์ต่างๆ และทักษะความสามารถของบุคลากรที่ปฏิบัติงาน จึงหาคู่แข่งที่จะมาทดแทนได้ยาก ซึ่งบริษัทได้รับการขยายเวลาสัมปทานจากรัฐบาลกัมพูชารวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง ตามการลงทุนพัฒนาอุปกรณ์และระบบเพิ่มเติม ทำให้ขณะนี้อายุสัมปทานยังเหลืออีก 28 ปี
โดยวัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้เป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างการถือหุ้น ดังนั้น SAV จึงต้องไปซื้อ CATS มาจาก SAMART และยังคงเหลือหนี้ในส่วนนี้อยู่จำนวนหนึ่ง ดังนั้นเงินที่ได้จากการระดมทุนจะทำให้ SAV ปลอดภาระหนี้สินที่มีอยู่ทั้งสิ้น เราจึงมองว่าการกระดมทุนในครั้งนี้มีความเหมาะสม แต่มีประเด็นที่ต้องติดตามต่อจากกรณีที่ SIH นำหุ้นสามัญมาเสนอขายในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้การเสนอขายหุ้นสามัญจำนวน 166 ล้านหุ้น ส่วนหนึ่งมาจากหุ้นสามัญเพิ่มทุน 64 ล้านหุ้น และอีก 102 ล้านหุ้น เป็นหุ้นสามัญของ SIH ที่เสนอขายในครั้งนี้
นอกจากนี้บริษัทตั้งใจจะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.75 บาท ให้กับผู้ถือหุ้นทุกรายของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นภายหลังจากที่หุ้นสามัญของบริษัทฯ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (First Trading Day) ด้วย หากที่ประชุมมีการอนุมัติอีกรอบ
รายได้ของบริษัทผันแปรตามจำนวนเที่ยวบินและอัตราค่าบริการที่ขึ้นอยู่กับประเภทของเที่ยวบิน และขนาดของเครื่องบิน โดยในช่วงที่ผ่านมา มีรายได้หลักจากให้บริการบินผ่านน่านฟ้าประเทศกัมพูชา (Overflight) คิดเป็นประมาณร้อยละ 60-70 ของรายได้รวม รองลงมาเป็นรายได้จากเที่ยวบินขึ้นลงระหว่างประเทศราวร้อยละ 20-30 ของรายได้รวมขณะที่หากกลับสู่ภาวะปกติรายได้ทั้ง 2 รูปแบบ จะกลับมาใกล้เคียงกัน ระยะสั้นเรามองว่า รายได้จะปรับตัวดีขึ้น จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวและกลับมาสู่ระดับปกติ รวมทั้งฐานที่ต่ำในช่วงโควิด-19 ซึ่ง 1H23 ปริมาณนักท่องเที่ยวชาวจีน (นักท่องเที่ยวหลัก) ยังกลับมาเพียงแค่ราวร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนทั้งปี 2019 และหลังจากรายได้ฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติ มองว่ารายได้จะเติบโตในอัตราที่ชะลอลงกว่าช่วงฟื้นตัว
ในระยะสั้นอัตรากำไรสุทธิมีแนวโน้มฟื้นตัว ตามปริมาณเที่ยวบินที่ฟื้นตัวและฐานที่ต่ำในช่วงโควิด-19 แต่อัตราการค่าบริการที่เป็นไปตามที่รัฐบาลกัมพูชากำหนด และไม่ได้มีการปรับขึ้นบ่อยครั้ง รวมทั้งแนวโน้มค่าใช้จ่ายในการบริหารที่สูงขึ้น จากจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยกดดันต่ออัตรากำไรสุทธิ ขณะที่ระยะยาวคาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะขยายตัวต่อเนื่องตามรายได้ที่ขยายตัว
ปัจจัยที่ต้องติดตามต่อ : 1) การเปิดให้บริการสนามบินแห่งใหม่ในกัมพูชา 2) การสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของรัฐบาลกัมพูชาและประเทศใกล้เคียง 3) การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาและประเทศข้างเคียง 4) การปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทในเครือ
ความเสี่ยง : 1) การเมืองในประเทศกัมพูชา 2) การพึ่งพิงรายได้จากการบริหารจัดการควบคุมการจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชาเพียงอย่างเดียว 3) การถูกยกเลิกหรือสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน 4) ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว จากการประเมินมูลค่าเบื้องต้น มองว่ามูลค่าเหมาะสม ณ ราคา IPO สูงเกินไป เมื่อเทียบกับ PER ของคู่แข่งที่ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันในอุตสาหกรรมที่ 25.4x เท่า