การลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้า ถือเป็นทางเลือกที่ค่อนข้างได้รับความนิยมจากนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะมักให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอจากมีรายได้มั่นคง และบริษัทก็มีโอกาสเติบโตมากขึ้นจากแผนขยายกำลังการผลิต
หนึ่งในหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจ คือ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU บริษัทพลังงานแบบครบวงจร โดยสร้างการเติบโตครอบคลุม 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ซึ่งเป็นการผสานธุรกิจด้านพลังงานทั้งในรูปแบบดั้งเดิม และรูปแบบใหม่หรือพลังงานหมุนเวียน ไว้ในโครงสร้างขององค์กรอย่างครบถ้วน
สำหรับผลประกอบการของ BANPU ที่ผ่านมา 3 ปีย้อนหลัง พบว่าบริษัทมีรายได้ในปี 2563 ที่ 72,929.82 ล้านบาท มีผลขาดทุนสุทธิ 1,786.32 ล้านบาท ต่อมาปี 2564 บริษัทมีรายได้เติบโตมาที่ 134,990.10 ล้านบาท พลิกมีกำไรสุทธิ 9,851.80 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 275,263.44 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 40,518.97 ล้านบาท ล่าสุดบริษัทรายงานผลประกอบการงวด 6 เดือน ปี 2566 มีรายได้ 85,151.50 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,542.71 ล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสที่ 3/66 คาดว่าจะทยอยฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน แต่จะเด่นในช่วงไตรมาส 4/66 จากความต้องการใช้พลังงานช่วงฤดูหนาว รวมทั้งมีปัจจัยสำคัญต้องติดตามจากแผน Spin-off และการเปิดใช้งานโครงการ CCS แห่งแรก กรณีสามารถรับรู้รายได้ตามแผน และแผนการขยายโครงการถัดไปจะทำให้ประมาณการของเราและตลาดมีอัปไซส์
อย่างไรก็ตาม คาดผลประกอบการไตรมาส 3/66 ฟื้นตัวเนื่องจาก
1) อัตราภาษีจ่ายกลับสู่ระดับปกติ
2) ปริมาณผลิตถ่านหินเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ฤดูแล้ง และปัญหาธรณีวิทยาถูกแก้ไข
3) ต้นทุนผลิตถ่านหินลดลงตามค่าภาคหลวง และการผลิตราบรื่นขึ้น
4) การฟื้นตัวของราคาก๊าซธรรมชาติไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 2.7 ดอลลาร์/MMBtu หรือเพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อน
5) การเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า Temple II
นอกจากนี้ ระยะสั้นการฟื้นตัวของราคาหุ้นอาจถูกจำกัด จากข้อมูลเศรษฐกิจจีนอ่อนแอ ผลประกอบการไตรมาส 2/66 และ 3/66 เติบโตไม่เด่น และความผันผวนจากการเข้าใกล้ช่วงแปลงสภาพ BANPU-W5 กำหนดวันใช้สิทธิวันที่ 29 กันยายน 2566 คงคำแนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเหมาะสม 10.00 บาท เชิงกลยุทธ์ แนะนำทยอยสะสมช่วงหุ้นอ่อนตัว เพื่อรับการฟื้นตัวที่ดีและลุ้นปัจจัยเร่ง (Catalyst) ที่สำคัญในช่วงไตรมาส 4/66
ด้านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ผลการดําเนินงานสุทธิไตรมาส 2/66 พลิกกลับมาเผชิญกับผลขาดทุนอีกครั้งที่ 455 ล้านบาท ย่ำแย่กว่างวดก่อนหน้าที่เป็นกําไรสุทธิ 4.9 พันล้านบาท ถูกกดดันหลักมาจากผลการดําเนินงานปกติที่เผชิญกับผลขาดทุนสูงถึง 3.1 พันล้านบาท เทียบกับงวดก่อนหน้าที่เป็นกําไรปกติที่ 3.8 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากผลการดําเนินงานธุรกิจหลักของ BANPU ทั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลงจากงวดก่อนหน้ามีนัยสำคัญ
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/66 คาดจะเห็นการฟื้นตัวพลิกกลับเป็นกําไรได้ แต่ยังไม่โดดเด่น ซึ่งอาจต้องมีการทบทวนปรับลดประมาณการปี 2566 อีกครั้ง โดยประมาณการปัจจุบันแนวโน้มกําไรจากการดําเนินงานปกติปี 2566 ที่ประเมินไว้จะอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ลดลง 81.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ภายใต้สมมติฐานราคาขายเฉลี่ยถ่านหินที่ 95 เหรียญฯต่อตัน และสมมติฐานราคาขายก๊าซฯในสหรัฐอเมริกาที่อิง Henrry Hub เหลือเพียง 3.5 เหรียญฯต่อพันลูกบาศก์ฟุต
เบื้องต้นคงมูลค่าพื้นฐานปี 2566 ที่ 9.2 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นปัจจุบันเต็มมูลค่าแล้ว ประกอบกับยังไม่เห็นปัจจัยบวกที่จะเข้ามาขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ในช่วงสั้น จึงคาดผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม ภาพรวมเน้นเพียง “TRADING” ช่วงสั้นๆ ตามทิศทางราคาถ่านหินและก๊าซฯที่เปลี่ยนแปลงไป