เปิดชื่อหุ้นได้รับผลดี-ผลเสีย ประชุม ครม.เศรษฐา นัดแรก อัดมาตรการกระตุ้นเพียบ

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

เปิดชื่อหุ้นได้รับผลดี-ผลเสีย ประชุม ครม.เศรษฐา นัดแรก อัดมาตรการกระตุ้นเพียบ

Date Time: 13 ก.ย. 2566 10:29 น.

Video

ล้วงไส้ TEMU อีคอมเมิร์ซจีน บุกไทย ทำไมอาจสร้างวิบากกรรมกว่าที่คิด ? | Digital Frontiers

Latest


 

เริ่มเดินหน้าแล้วสำหรับรัฐบาลภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่เริ่มต้นประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ เป็นวันแรก โดยในการประชุมวันนี้ คาดว่า วาระเร่งด่วน ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งมาตรการลดค่าครองชีพประชาชน ลดราคาค่าไฟฟ้า และน้ำมัน รวมถึงมาตรการตุ้นการท่องเที่ยวด้วยการฟรีวีซ่า ทั้งนี้นักวิเคราะห์ได้รวบรวมหุ้นที่จะได้รับผลดี และผลเสีย จากมาตรการดังกล่าวไว้แล้ว

 

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า หลังจากเสร็จสิ้นวาระการประชุมแถลงนโยบายของรัฐบาลเศรษฐา (11-12 ก.ย. 66) วันนี้จะมีการประชุม ครม. นัดแรก โดยมีวาระการประชุม ดังนี้ ขอความเห็นชอบในหลักการเดินหน้าโครงการ Digital Wallet โดยจะเริ่มต้น เดือน ก.พ. 67 การลดราคาพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า อาจลดน้ำมันดีเซลสูงสุดลิตรละ 2 บาท (เพื่อให้เหลือ 30 บาท/ลิตร) และอาจลดค่า Ft ลงอีก 0.2 บาท/หน่วย (มาอยู่ที่ 4.25 บาท/หน่วย) มาตรการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี อัดงบกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะเกิดในช่วงไตรมาสที่ 4

มาตรการเตรียมพร้อมรับมือเอลนีโญ มาตรการวีซ่าฟรี (นักท่องเที่ยวไม่ต้องขอวีซ่า) โดยจะเริ่มต้นได้เร็วที่สุดภายใน วันที่ 25 ก.ย. 66 และสิ้นสุดปลายเดือน ก.พ. 67

 

ขอความเห็นชอบเป็นกรอบเวลาในการเริ่มทำงบประมาณรายจ่ายปี 2567 อาจต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลเพิ่ม 1 แสนล้านบาท อีกนโยบายที่ไม่ได้อยู่ในวาระการประชุมแต่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น คือ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยวานนี้รมต.คมนาคม ให้แนวทางไว้ว่า นโยบาย ดังกล่าวสามารถเป็นรูปธรรมได้แน่นอน ส่วนระยะเวลาจะต้องดูแต่ละเส้นทางที่มีระบบ แตกต่างกัน ทั้งการให้สัมปทานเอกชนและบางเส้นทางรัฐดำเนินการเองหรือบางเส้นทางมี กทม.เป็นคู่สัญญา ดังนั้น การให้เก็บ 20 บาทตลอดสายเท่ากัน ต้องใช้เวลา พอสมควร แต่สำหรับเส้นทางที่รัฐจะดำเนินการได้เองและทันที คือ สายสีแดง (ตลิ่งชัน-รังสิต) กับสายสีม่วง (คลองไผ่-เตาปูน) ซึ่งคาดจะเริ่มได้ 1 ม.ค. 67

 

 

ด้วยวาระการประชุม และนโยบายที่กล่าวไป ล้วนแต่เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจไปข้างหน้า และมีโอกาสที่ GDP Growth ปีหน้าจะโต 5% จากปีก่อน ตามที่พรรคเพื่อไทยตั้งไว้ตอนหาเสียง ขณะที่กลุ่มหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ กลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยว ขนส่ง ขณะที่กลุ่มที่ ได้รับผลกระทบ แต่ราคาหุ้นตอบสนองไประดับหนึ่งแล้ว คือ กลุ่มพลังงาน-โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ เป็นต้น ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบ คือ CRC BJC AOT CENTEL BEM TOP PTTEP SPRC BGRIM GPSC เป็นต้น

สรุป รัฐบาลชุดใหม่ เตรียมผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนให้เศรษฐกิจตั้งแต่ 2H66 เติบโตเป็นขั้นบันได และมีความเป็นไปได้ที่ GDP Growth ปีหน้าจะโต 5% ดังนั้น SET Index จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเป้าหมายหลักของ Flow ต่างชาติ โดยวันนี้มอง กรอบการเคลื่อนไหวในกรอบ 1540-1555 จุด

 

 

 

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินว่า ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน เป็นการปรับเพิ่มขึ้น จากค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยทั้ง ประเทศ 337 บาทต่อวัน เพิ่มขึ้น 18.6% และเป็นการเพิ่มขึ้นจาก กทม. กับปริมณฑล 353 บาทต่อวันเพิ่มขึ้น 13% ในกลุ่มอาหารเราคาดผลกระทบต่อกลุ่มอาหารเครื่องดื่ม-จากการทำ Sensitivity โดยใช้สมมติฐานการปรับขึ้น ค่าแรงที่ 13% ตั้งแต่ต้นปี 2024

 

และคิดตามสัดส่วนแรงงานขั้นต่ำ พบว่า กลุ่มที่กำไรปี 2024 อาจถูกกระทบมากสุด คือ กลุ่ม เนื้อสัตว์ (ทั้งหุ้น CPF, BTG, TFG ,GFPT) ราว 7-12% และร้านอาหาร (M ZEN) 7-14% กลุ่มที่ถูกกระทบปานกลาง คือ อาหารส่งออก (TU, ITC) 2-9% กลุ่มที่ถูกกระทบน้อย คือ เครื่องดื่ม (OSP, CBG, SAPPE, ICHI, TACC) 2-4% และกลุ่มเกษตร (KSL, STA, TVO) 0.5-5% ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA, HANA, KCE) คาดถูกกระทบจำกัด 2-4%

 

แม้มีแรงงานมาก แต่เป็นแรงงานที่มีทักษะ ซึ่งค่าแรงสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำกลุ่มอสังหาฯคาดกระทบจำกัดเนื่องจากสัดส่วนค่าแรงอยู่ที่ 10-15% ของต้นทุนซึ่งไม่มาก และสามารถปรับขึ้นราคาและใช้ Precast ชดเชยได้ส่วนกลุ่มรับเหมาฯ STEC จะกระทบสูงสุดเพราะ Margin บ้าง แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จ่ายสูงกว่าขั้นต่ำอยู่แล้วส่วนกลุ่มค้าปลีก คาดกระทบกำไรราว 10% แต่คาดชดเชยได้จากกำลังซื้อที่จะดีขึ้นส่ง ผ่านมายัง SSSG


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์