ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานความเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติ โดยพบว่า มีแรงขายหุ้นไทย 8 วันติดต่อกัน โดยนับจากวันที่ 31 ส.ค. ถึงวันที่ 11 ก.ย. มีแรงขายออกไปแล้ว 15,498.41 ล้านบาท
โดยบล.เอเซีย พลัส เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ ว่า แม้จะมีแรงขายออกจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจเป็นเพราะความกังวลเรื่องฐานะ การคลังของบ้านเราหากใช้เม็ดเงินจำนวนมากในการออกมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้หาเสียงไว้ เพิ่มความเสี่ยงต่อการที่อาจถูก ลดอันดับความน่าเชื่อถือ แต่ในมุมมองของเรา ประโยชน์ที่จะได้รับบนต้นทุนความกังวลดังกล่าวก็มีอยู่มากเช่นกัน
เบื้องต้นคาดว่าจะเห็นแรงหนุนการเติบโต ของเศรษฐกิจจากช่วงครึ่งปีหลัง สู่ ต้นปีหน้า ภายใต้สมมติฐานมีการแจกเงินเข้า Digital Wallet สอดคล้องกับกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ ครึ่งปีหลัง จะโตจาก ครึ่งปีแรก ราว 19% นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังอาจได้ Sentiment เชิงบวกจากสัญญาณการฟื้นตัว ของเศรษฐกิจจีนที่ชัดเจนเพิ่มขึ้นตามลำดับ ภายใต้สถานการณ์แวดล้อมดังกล่าว การที่จะสร้างโอกาสในการทำกำไร นักลงทุนต้องอยู่ในโหมด “ใจดีสู้เสือ”
ภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เปิดเผยกับ Thairat Money ว่า ภาพรวมของเงินทุนต่างชาตินั้นในระยะสั้นอาจมีแรงขายออกไปบ้าง โดยปัจจัยหลักมาจากแรงขายทำกำไร หลังจากหุ้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และการเกิดความกังวลในฐานะการคลัง ที่ประเทศไทยมีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมาก ทั้งนี้หากรัฐบาลสามารถทำได้ตามที่พูดไว้
“ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นจาก 1,500 จุด ไปอยู่ที่ 1,579 จุด หลังจากประเทศไทยมีความชัดเจนด้านการเมือง ซึ่งเงินที่ผลักดันตลาดมาจากเงินทุนต่างชาติเป็นหลัก ทำให้เกิดแรงขาย ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการแถลงนโยบายที่อาจสร้างความกังวลในฐานการคลังบ้าง แต่เราเชื่อว่าถ้ารัฐบาลสามารถอัดฉีดเศรษฐกิจได้จริง จะช่วยดันเงินทุนต่างชาติกลับมาอีกครั้ง”
สำหรับทิศทางของตลาดหุ้นไทยในอนาคต มองว่าน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยปัจจัยผลักดันที่สำคัญมาจากกำไรไตรมาสที่ 3 ของปีนี้จะเติบโตประมาณ 19% ซึ่งจะช่วยให้ตลาดฟื้นตัวในช่วงปลายปี และในต้นปีหน้า หากรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายในมือ ทั้งเงินกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ได้ตามแผนที่วางไว้ จะส่งผลบวกให้ตลาดหุ้นคึกคักไปถึงต้นปีหน้า
ทั้งนี้นักลงทุนอาจใช้จังหวะนี้ในการปรับพอร์ตลงทุน โดยมองหุ้นในกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน ทั้งกลุ่มที่อิงกับการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ทั้ง SCGP, PTTGC หุ้นกลุ่มที่อิงกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้ง BJC CRC CPALL และ หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่าง TOP
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ เปิดเผยว่า เราร่วมมือกับ Jefferies พันธมิตรของเราเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดงาน JEF 4th Asia Forum ซึ่งเราได้พบปะกับกองทุนสถาบันต่างประเทศมากกว่า 20 กองทุนเพื่อแบ่งปันความคิดเห็นของเราเกี่ยวกับตลาดไทย ข้อเสนอแนะที่สำคัญ มีดังต่อไปนี้
1. การเมืองและผลกระทบเชิงนโยบายเป็นประเด็นพูดคุยที่สำคัญ
การสนทนาของเรากับนักลงทุนส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการพัฒนาทางการเมืองในประเทศไทย นักลงทุนส่วนใหญ่โล่งใจที่พัฒนาการทางการเมืองเมื่อเร็วๆ นี้ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตามจากการพิจารณาคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ที่เราพบมักรอดูนโยบายของรัฐบาลก่อนตัดสินใจลงทุนระยะยาว ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมาสู่ตลาดไทย แท้จริงแล้วนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมองหานโยบายที่รัฐบาลใหม่จะดำเนินการ และผลกระทบต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง
2. นักลงทุนต่างชาติยังคงระมัดระวังตลาดไทยโดยเฉพาะระยะกลาง
โดยทั่วไปเรามองว่า นักลงทุนต่างชาติระมัดระวังต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะกลาง (ประเด็นสำคัญที่พวกเขากังวลในขณะนี้) แม้ว่าการแจกเงินสด 10,000 จะได้รับความรู้สึกเชิงบวกในระยะสั้นก็ตาม แต่เราได้พูดคุยกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับพื้นที่งบประมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะใช้เงินสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร และมีพื้นที่งบประมาณเหลือสำหรับรัฐบาลเท่าใด (ซึ่งถือว่าไม่มากนัก) นี่เป็นข้อกังวลหลักสำหรับกองทุนระยะยาวซึ่งถือเป็นส่วนใหญ่ของนักลงทุนที่เราพบ
อีกเหตุผลหนึ่งที่ควรระมัดระวังก็คือ การประเมินมูลค่าของ SET ซึ่งไม่ได้ดูถูกมากนัก นักลงทุนหลายรายมองว่า SET ที่สูงกว่า 1,500 นั้นไม่น่าสนใจ เนื่องจากคาดว่า EPS ปีนี้และปีหน้า (อาจยังต่ำกว่า 100 บาท) พวกเขามองเห็นคุณค่าที่น่าดึงดูดมากขึ้นในตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะอินโดนีเซียและเวียดนาม
3. Consensus แนะนำ “ซื้อ” สำหรับ commerce เนื่องจากคาดว่าจะได้รับเงินสดจำนวน 10,000 บาท
นักลงทุนทุกรายมีมุมมองเชิงบวกต่อภาคการค้าและอาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากโครงการแจกเงินสดดิจิทัลมูลค่า 10,000 บาท ที่หลายคนตั้งตารอคอย ผู้ได้รับประโยชน์ที่เราชื่นชอบจากธีมนี้คือ ผู้ค้าปลีก เช่น CPAXT, CPALL และ GLOBAL และผู้ประกอบการด้านการบริการอาหาร (F&B) เช่น CBG, OSP และ ICHI นอกจากนี้ เรายังระบุว่าบริษัทที่ไม่ใช่ธนาคารควรได้รับประโยชน์เนื่องจากรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ซึ่งควรปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ในครัวเรือน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเป็นข้อกังวลหลักสำหรับภาคส่วนนี้ นักลงทุนหลายรายหารือกันว่าหุ้นตัวไหนที่อยู่ในสถานะผู้รับประโยชน์ลำดับที่ 2 เช่น ผู้พัฒนาสำหรับกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ KTB หากรัฐบาลเลือกใช้เส้นทางเป๋าตัง นักลงทุนบางคนยังตั้งคำถามว่าหุ้นตัวไหนจะขาดทุนจากนโยบายนี้ เราตอบว่าไม่เห็นในระยะสั้นนอกจากรัฐบาลเอง แต่ในระยะกลาง บางบริษัทอาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และการอ่อนค่าของเงินบาท
4. ข้อกังวลหลายประการเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านนโยบายภาคพลังงาน
นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยกันอย่างกว้างขวางในเรื่องภาคพลังงาน เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านนโยบาย ซึ่งเราเน้นย้ำถึงมาตรการที่รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะดำเนินการเพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมัน และราคาไฟฟ้าในประเทศ และเปรียบเทียบผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นของแต่ละมาตรการ เราตัดสินว่าความกังวลดังกล่าวมีมากกว่าสำหรับภาคสาธารณูปโภค เทียบกับกลุ่มพลังงานอื่นๆ เช่น ปิโตรเคมี นักลงทุนจำนวนมากเชื่อว่าควรรอจนกว่าจะได้ภาพที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับมาตรการเหล่านี้ หรืออย่างน้อยก็จนถึงวันอังคารหน้า เมื่อรัฐบาลจะจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการครั้งแรก
5. นักลงทุนบางส่วนยังถามถึงภาคธนาคารด้วย
ถึงแม้จะมองว่างบดุลของ KBANK อ่อนตัวกว่าคู่แข่งที่เป็นแบงก์ใหญ่ แต่นักลงทุนยังคงเชื่อว่าหาก/เมื่อต่างชาติกลับเข้าตลาด KBANK จะเห็นกระแสเงินทุนหมุนเวียนค่อนข้างสูง เนื่องจากหุ้นมีสภาพคล่องสูง เบต้าสูงกว่า SET/SETBANK และ ความคุ้นเคยกับนักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ KBANK ยังน่าจะได้ประโยชน์มากขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ จากการเปิดรับกลุ่ม SME/ค้าปลีก
มองดัชนี SET สิ้นปีที่ 1,496 จุด ■