หุ้นท่องเที่ยววิ่งยกแผง “เศรษฐา” เล็งออกมาตรการกระตุ้น AAV-BA เด่นสุดในกลุ่ม

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

หุ้นท่องเที่ยววิ่งยกแผง “เศรษฐา” เล็งออกมาตรการกระตุ้น AAV-BA เด่นสุดในกลุ่ม

Date Time: 29 ส.ค. 2566 14:26 น.

Video

วิธีเอาตัวรอดของ Wikipedia ไม่พึ่งโฆษณา ไม่มีค่าสมาชิก แต่อยู่มาได้ 23 ปี | Digital Frontiers

หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวปรับเพิ่มขึ้นอย่างคึกคักในช่วงเช้าวันนี้ โดยเป็นผลมาจากการนัดพบกันระหว่าง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับผู้บริหารด้านสายการบินในประเทศไทย เพื่อรับข้อเสนอแนะของภาคเอกชน และในขณะเดียวกันยังเดินหน้าเตรียมความพร้อมในการรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้าสู่ไฮซีซั่น ส่งผลให้หุ้นสายการบิน สนามบิน และกลุ่มโรงแรม บวกกันอย่างคึกคัก

 

 

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ ประเมินว่า โดยนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อปรับปรุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่กำลังมาถึง และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา หากข้อเสนอรณรงค์ปลอดวีซ่าได้รับการอนุมัติ (หนึ่งในความคิดริเริ่ม) กลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายคือ จีน และอินเดีย (คิดเป็น 32.6% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 2019 เทียบกับ 17.8% YTD) ยังคงได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว โรงแรมต่างๆ ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวที่ 'มีคุณภาพ' เพิ่มมากขึ้น และคาดว่าการปรับภาษีสรรพสามิตจะเป็นประเด็นสำคัญ แม้ว่า ท่าอากาศยานไทย (AOT) จะได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นก็ตาม แต่เรายังแสดงความกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของพรรคเพื่อไทยที่จะยกระดับสนามบินของไทยด้วย เนื่องจากมาพร้อมกับภาระการลงทุนเพิ่มเติมของ AOT เราจึงยังคงชอบการประมาณการณ์ “ซื้อ” ของ BA และ AAV ในขณะที่ AOT ยังคงแนะนำ “ถือ” ซึ่งอยู่ในขณะที่เรารอความชัดเจนเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนการลงทุนระยะยาวของบริษัท

 

ฟรีวีซ่า และภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง-ปัจจัยบวกให้กับ AOT, AAV, BA

ในระหว่างการประชุมของนายกรัฐมนตรีกับ AOT และ 8 สายการบินในประเทศไทย ผู้ประกอบการได้แสดงความจำเป็นต้องมีโครงการ 'ฟรีวีซ่า' เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น ในช่วงไตรมาสที่ 4  ที่กำลังจะมาถึง จีนและอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่นักท่องเที่ยวจะมีสิทธิ์ได้รับวีซ่าฟรี อย่างไรก็ตามเราทราบว่าจีนตกเป็นเป้าหมายเนื่องจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวถูกขัดขวางจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ และปัญหาด้านกฎระเบียบของประเทศ ผู้ที่ชัดเจนจากมาตรการดังกล่าวในมุมมองของเราคือ AOT และ AAV โดย AOT กำลังมองหาปริมาณการเดินทางที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ปัจจุบันมีเพียง 40% ของระดับปี 2019

 

ในขณะเดียวกัน AAV ก็ได้วางตำแหน่งเที่ยวบินไปจีนแล้ว โดยตั้งเป้าไว้ที่ 138 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ภายในสิ้นปี ซึ่งตรงกับระดับปี 2019 ทั้งนี้ BA อยู่ระหว่างการเปิดใช้งานเที่ยวบินไปยังฉงชิ่งและเฉิงตูอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นายกฯ เศรษฐา ได้ยินความกังวลของสายการบินต่อระดับภาษีสรรพสามิตเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และระบุว่าขั้นบันไดภาษีจะอยู่ระหว่างการพิจารณา การแข่งขันระหว่างสายการบินยังคงสูง และเราคาดว่าอุปสงค์การเดินทางทางอากาศจะมีอยู่มากมายแซงหน้าอุปทานซึ่งฟื้นตัวช้ามาก โดยเฉพาะการส่งมอบเครื่องบินและอะไหล่ ดังนั้นเราคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ AAV โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 3.50 บาท และสำหรับ BA โดยมีมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 19.50 บาท จากการฟื้นตัวของเที่ยวบินของจีน โดยอาศัยราคาค่าโดยสารเฉลี่ยที่แข็งแกร่ง และชอบ BA มากกว่า AAV เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้นของแบบเดิม

 

การอัปเกรดสนามบินไทยสร้างความกดดันด้าน CAPEX ให้กับ AOT มากขึ้น

ในฐานะส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของนายกรัฐมนตรีเศรษฐาที่จะปรับปรุงการท่องเที่ยวเพื่อเป็นแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย เขากำลังพยายามยกระดับสนามบินทั้งหมดในประเทศไทย และสร้างสนามบินใหม่สองแห่ง แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ และอีกหนึ่งสนามบินในจังหวัดพังงา โดยสนามบินเชียงใหม่แห่งใหม่จะไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของสนามบินเดิมในเที่ยวบินกลางคืนเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ตัวเมือง และการเปิดสนามบินพังงาน่าจะช่วยลดการจราจรที่สนามบินนานาชาติภูเก็ตที่อยู่ใกล้เคียงได้ เมื่อรวมกันแล้วสนามบินใหม่ทั้งสองแห่งนี้น่าจะต้องใช้เงินลงทุนในการลงทุนประมาณ 1.25-1.35 แสนล้านบาท และต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม ทั้งนี้การโอนสนามบินอื่นภายใต้กรมวิชาการเกษตรไปยัง AOT อยู่ระหว่างการศึกษาเช่นกัน ปัจจุบันกระบี่ อุดรธานี และบุรีรัมย์ อยู่ระหว่างการพิจารณาขั้นสุดท้ายของการโอน ซึ่งเราตั้งข้อสังเกตว่าความตั้งใจของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะยกระดับสนามบินของประเทศไทยก่อให้เกิดภาระหนักต่อรายจ่ายฝ่ายทุนของ AOT เนื่องจากขาดความชัดเจนในเรื่องผลกระทบต่ออุปสงค์ เราจึงมีความกังวลต่อ AOT และคงคำแนะนำ “ถือ” ของเราอีกครั้ง โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 72.00 บาท

 

 

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประเมิน ว่า ภายใต้กระแสการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวที่ถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของ GDP ไทย และสามารถทำได้เร็วกว่านโยบายอื่น ผ่านการยกเว้น VISA ให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย อาทิ จีน (VISA สถานกงสุล 200 หยวนต่อครั้ง, VISA หน้าด่าน หรือ VOA 500 หยวนต่อครั้ง) และอินเดีย ในช่วง High Season รวมทั้งการเพิ่มเที่ยวบิน และแผนในระยะยาว อย่างการพัฒนาสนามบิน และการให้ AOT เข้าบริหาร สนามบินในต่างจังหวัดเพิ่มเติม

 

ประเด็นข้างต้น ฝ่ายวิจัยมองกรณีที่เกิดขึ้นช่วยจูงใจนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวไทย (ต.ค. เป็นช่วง Golden week ของจีน) โดยประเมินผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มฯ เรียงตามสัดส่วนรายได้ในไทย ดังนี้ AOT ในฐานะประตูสู่ประเทศไทย ERW สัดส่วนราว 90% มาจากโรงแรมไทย CENTEL สัดส่วน 82% ของรายได้ โรงแรมงวดครึ่งปีแรกอยู่ในไทย (รายได้ร้านอาหาร : โรงแรม ที่ 58% : 42%) และ MINT สัดส่วนรายได้ราว 50% มาจากในยุโรป

 

สำหรับทิศทางกำไรปกติ (ไม่รวมรายการพิเศษ) ของหุ้นท่องเที่ยว (AOT, CENTEL และ ERW) ที่มีโครงสร้างรายได้ในไทยเป็นหลัก ไต่ระดับ QoQ (+ YoY) ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้-ไตรมาสที่ 1 ของปี 67 หลังผ่าน Low Season ของท่องเที่ยวไทยในช่วงไตรมาสที่ 2 ผสานกับมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวจากภาครัฐ คาดการณ์หนุนค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) ยืนในระดับสูงต่อเนื่อง หลังงวดไตรมาสที่ 2 ADR ของโรงแรมไทยทั้ง CENTEL, ERW และ MINT ล้วนสูงเกินระดับไตรมาสที่ 2 ของปี 2565

 

นอกจากนี้แนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นช่วงไตรมาสที่ 4 คาดช่วยเพิ่มปริมาณ Traffic ในศูนย์การค้า และเป็นแรงส่งทางอ้อมต่อกำลังซื้อในประเทศ บวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องอย่าง CPN และกลุ่มร้านอาหารที่อยู่ในศูนย์การค้า เช่น CENTEL, MINT และ M โดยกลยุทธ์การลงทุนในธีมกระตุ้นภาคท่องเที่ยวของรัฐบาลใหม่ เน้นหุ้นที่มีโครงสร้างรายได้ในไทยเป็นหลัก นำโดย ERW, AOT และ CENTEL ส่วน MINT (แม้สัดส่วนรายได้ในไทยต่ำกว่ากลุ่มฯ) แต่ชอบในการกระจายตัวของธุรกิจในหลายประเทศ ประกอบกับราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมายังปรับขึ้นช้ากว่ากลุ่มฯ มองว่าสามารถ catch-up ตามหุ้นในกลุ่มฯ ได้ รวมไปถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมอย่าง CPN และร้านอาหาร อาทิ M ที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ราว 698 สาขา มีลุ้นรับประโยชน์จากนโยบาย Digital wallet ในปีหน้า.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ