2 บิ๊กรีเทล พาเหรด แตกแบรนด์ใหม่-ขยายสาขา “โมชิ โมชิ-สเนลไวท์” หวังรัฐบาลใหม่ กระตุ้นกำลังซื้อ

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

2 บิ๊กรีเทล พาเหรด แตกแบรนด์ใหม่-ขยายสาขา “โมชิ โมชิ-สเนลไวท์” หวังรัฐบาลใหม่ กระตุ้นกำลังซื้อ

Date Time: 28 ส.ค. 2566 17:14 น.

Video

คนไทยจ่ายภาษีน้อย มนุษย์เงินเดือนรับจบ ปัญหาอยู่ที่ระบบหรือคนกันแน่ ? | Money Issue

Summary

  • 2 ผู้นำค้าปลีกพร้อมใจแตกแบรนด์ใหม่และขยายสาขา ด้านผู้บริหาร โมชิ โมชิ และผู้บริหาร สเนลไวท์ เห็นตรงกันว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ จะส่งผลดีต่อกำลังซื้อในประเทศ และทำให้ผลประกอบการในอนาคตมีแนวโน้มสดใส

Latest


นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ดูเหมือนจะเป็นความหวังใหม่ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการร้านค้าปลีก ที่ต่างคาดหวังว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศจะกลับมาคึกคัก หลังพ้นช่วงวิกฤติของโควิด-19 สะท้อนจากแผนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ตอบรับความต้องการผู้บริโภค


บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น MOSHI หนึ่งในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ ภายใต้ชื่อทางการค้า Moshi Moshi (โมชิ โมชิ) แถลงแผนการดำเนินงานปี 2566 พร้อมประกาศเปิดแบรนด์ใหม่ “Garlic” ตอบโจทย์ทุกสไตล์ความชอบ และเล็งเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่องในปีนี้


ภรดา โรจน์วัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น MOSHI เปิดเผยว่า บริษัทวางงบลงทุนปี 2566 ไว้ราว 130 ล้านบาท สำหรับการขยายสาขา การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะทำได้ดีกว่าครึ่งปีแรก แม้ไตรมาสที่ 3/66 อาจอ่อนตัวเล็กน้อยจากเข้าสู่ช่วง Low Season ของธุรกิจ แต่จะเริ่มเข้าสู่ช่วงเทศกาลในไตรมาสที่ 4/66 ส่งผลให้ยอดขายปรับตัวขึ้นได้ 


ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนขยายสาขาโมชิ โมชิ เพิ่มในปีนี้อีก 20 สาขา จะส่งผลให้สิ้นปีมีทั้งหมด 125 สาขา ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่รองรับแล้วทั้งหมด พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการขยายสาขาไปยังต่างประเทศด้วย โดยมองว่าประเทศกลุ่ม CLMV มีศักยภาพในการเติบโตที่ดี


ส่วนแบรนด์ “Garlic” ที่เปิดตัวไปในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา พบว่าได้รับผลตอบรับดี และมียอดขายตามที่คาดไว้ และมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าเมื่อเทียบกับแบรนด์เดิมอย่าง โมชิ โมชิ จากเน้นสินค้าที่มีการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยบริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่มจำนวน 2 สาขา ภายในปีนี้


นอกจากนี้ บริษัทยังมองโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (JV) อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตร 1 ราย ที่มีศักยภาพ ซึ่งหากมีความชัดเจนจะแจ้งให้นักลงทุนทราบในระยะถัดไป


สำหรับนโยบายจากรัฐบาลชุดใหม่ มองว่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจมากกว่าความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามดูนโยบายการขึ้นค่าแรงต่อเนื่อง แต่บริษัทมีความยืดหยุ่นในการปรับขึ้นราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนในอนาคตได้


ด้าน บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น DDD ผู้ประกอบธุรกิจในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก อุปกรณ์ตกแต่งทรงผม อุปกรณ์เสริมความงาม ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ต่างๆ หรือที่รู้จักกันดีในแบรนด์ สเนลไวท์ และ เลอซาช่า ประกาศรุกซื้อกิจการต่อเนื่อง ขยายสู่ธุรกิจใหม่เพื่อการเติบโตบน “New S-curve” เช่นกัน


วันชัย ศรีสุชน ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น DDD เปิดเผยว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนเข้าซื้อกิจการอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงจากธุรกิจและขนาดของการลงทุนที่เหมาะสม ให้สามารถรองรับและสนับสนุนการเติบโต ตามแกนธุรกิจหลักต่างๆ ได้ โดยเชื่อว่าจะมีความชัดเจนได้ 1 กิจการ ภายในไตรมาสที่ 4/66 นี้


ขณะเดียวกัน ขั้นตอนการตัดสินใจลงทุนในธุรกิจใดๆ จะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและความเป็นไปได้ รวมถึงความร่วมมือกับธุรกิจหลักของบริษัทด้วย ประกอบกับการเข้าซื้อกิจการเข้ามานั้น จะต้องมีการปรับปรุงขั้นตอนการทำงาน ระบบงาน และบุคลากร ซึ่งจะต้องใช้เวลา ก่อนที่จะสะท้อนมายังผลประกอบการ ซึ่งการซื้อกิจการถือเป็น Growth Engine หนึ่งของบริษัท


นอกจากนี้ บริษัทเชื่อผลประกอบการปี 2566 จะสามารถเติบโตได้จากปีก่อน โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาดำเนินการ ซึ่งบริษัทคาดหวังว่านโยบายจากรัฐบาลใหม่นั้น จะสามารถกระตุ้นกำลังซื้อให้กับกลุ่มลูกค้า พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งเคยเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทให้ฟื้นตัวขึ้น และจะส่งผลบวกต่อภาพรวมการเติบโตของยอดขายและกำไรของบริษัทได้


สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะเน้นการทำตลาดผ่านร้านสาขามากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางจำหน่าย Modern trade และ Traditional Trade หลังการใช้ชีวิตของคนเริ่มกลับมาเป็นปกติ และการฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ช่องทางกระจายสินค้าดังกล่าวกลับมามีบทบาทมากขึ้น.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์