OR เล็งซื้อธุรกิจ "สุขภาพ-ความงาม" เพิ่มรายได้กลุ่มไลฟ์สไตล์ เปิดแผนดัน โอ้กะจู๋ เข้าตลาดหุ้น

วิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาการเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ประกอบกับสนใจเข้าลงทุนเพื่อขยายฐานในกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจสุขภาพ (Health & Wellness) และกลุ่มธุรกิจความงาม (Beauty) ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจาหาความร่วมมือ ว่าจะมีโอกาสที่เหมาะสมสำหรับบริษัทหรือไม่ ส่วนมูลค่าการเข้าลงทุนจะมีการแจ้งให้นักลงทุนทราบในระยะต่อไปเมื่อมีความชัดเจนมากขึ้น

ขณะเดียวกัน บริษัทย่อยที่ OR ได้เข้าไปร่วมทุนจำนวน 2-3 บริษัท กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการแผนเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งบริษัทย่อยที่คาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นไอพีโอได้เร็วที่สุด คือ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด หรือร้าน โอ้กะจู๋ ที่ OR ถือหุ้นอยู่ราว 20-25% ส่วนบริษัทอื่นที่เหลือ ยังต้องรอความชัดเจน และติดตามอัตราการเติบโต โดยเฉพาะความสามารถในการทำกำไรในอนาคต ซึ่งเชื่อว่ามีศักยภาพที่จะดำเนินการตามแผนได้

ทั้งนี้ บริษัทมองว่ากลุ่มธุรกิจ Lifestyle มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความสามารถในการทำกำไร จากปัจจุบันมีสัดส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ระดับ 25% ของ EBITDA ทั้งหมด ขณะที่สัดส่วนรายได้ของกลุ่มธุรกิจ Mobility ที่ยังอยู่ในระดับสูงราว 90%

พร้อมกันนี้ บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาคาเฟ่ อเมซอน ปีนี้อีก 400 สาขา ซึ่งจะทำให้สิ้นปีอยู่ที่ 4,100-4,200 สาขา และมีแผนขยายสถานีบริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เป็น 800 แห่ง สิ้นปีก่อนที่ 300 แห่ง ครอบคลุม 77 จังหวัดและเส้นทางหลักการเดินทางทั่วประเทศ

บริษัทเชื่อว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะมีการเติบโตจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หนุนโดยภาคการท่องเที่ยวและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เป็นแรงส่งให้การบริโภคในประเทศ ประกอบกับความชัดเจนของประเด็นทางการเมือง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นภาคการผลิตและภาคการลงทุนมีแนวโน้มที่ดี

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่อาจกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้หลายประเทศดำเนินนโยบายการเงินอย่างเข้มงวด รวมถึงมีความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ที่ถือเป็นความท้าทายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้