มองข้ามชอตตลาดหุ้นไทย นักวิเคราะห์ฯ เชื่อตั้งรัฐบาลเสร็จ อาจดันดัชนีแตะ 1,600 จุด

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) วันนี้ปรับตัวขึ้นแรงมาอยู่ที่ 1,545.60 จุด หรือเพิ่มขึ้น 19.75 จุด (+1.29%) โดยปรับตัวสูงสุดแตะระดับ 1,548.32 จุด หรือเพิ่มขึ้น 22.47 จุด จากวันก่อนหน้า หลังประเด็นการเมืองในประเทศที่มีความชัดเจนมากขึ้น โดยระหว่างวันมีการเสนอชื่อ เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 นักลงทุนต่างให้น้ำหนักและเชื่อมั่นว่าจะผ่านไปด้วยดี ผลปรากฏว่าในช่วงเย็นวันนี้ เศรษฐา ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทนวันนี้ปรับตัวขึ้นมา สะท้อนว่าในระหว่างวันนักลงทุนตอบรับเชิงบวกกับการโหวตนายกรัฐมนตรีในวันนี้ที่เชื่อว่าจะมีความราบรื่น และมีโอกาสโหวตผ่าน พร้อมกับบรรยากาศการลงทุนในต่างประเทศส่วนใหญ่มีทิศทางในเชิงบวก

ทั้งนี้ จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าหากมีการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ตลาดหุ้นมักตอบรับในเชิงบวก โดยจะปรับตัวขึ้นราว 5% ในเวลา 1 เดือน ซึ่งคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปอยู่ที่ระดับราว 1,580-1,600 จุดได้

อย่างไรก็ดี แนะนำลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มอุปโภคบริโภค กลุ่มธนาคารและไฟแนนซ์

ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ กล่าวว่า วันนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาแข็งกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค จากประเด็นการโหวตนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ซึ่งนักลงทุนคาดหวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ประเด็นดังกล่าว สะท้อนไปยังราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในระหว่างวัน ในกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มไฟแนนซ์

ขณะเดียวกันแนะนำนักลงทุนให้ติดตามการอภิปรายในสภาต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าหากผลการโหวตไม่พลิกล็อก จะทำให้โมเมนตัมของตลาดหุ้นไทยยังเป็นบวกต่อเนื่องได้ จากความคาดหวังว่าจะมีการตั้งคณะรัฐมนตรี และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยยังคงให้แนวต้านเดิมไว้ที่ระดับ 1,560 จุด

นอกจากนี้ แนะนำนักลงทุนให้เลือกลงทุน (Selective) โดยสามารถเข้าเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นกลุ่มค้าปลีกและไฟแนนซ์ได้ แต่หากมองข้ามปัจจัยการเมืองไปแล้ว ให้เลือกลงทุนให้หุ้นกลุ่มที่คาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะออกมาดี ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มส่งออกอาหารและเกษตร และกลุ่มบริหารหนี้สิน.