ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในวันนี้ กำลังถูกกดดันด้วยปัจจัยการเมืองที่เข้ามากดดันจำนวนมาก ทั้งการเดินทางกลับประเทศไทย ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนทิศทางการเมืองไทย และการโหวตตั้งรัฐบาล ที่คาดว่าจะมีการเสนอชื่อ เศรษฐา ทวีสิน เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ ประเมินว่า หากโหวตนายกฯ ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย จะส่งผลบวกสำคัญกับตลาดหุ้นไทย
บล.ยูโอบี เคยเฮียน (ประเทศไทย) มองว่า ในการโหวตวันนี้ตลาดหุ้นคาดได้ตัวนายกฯ หนุนเศรษฐกิจโตตามนโยบายของพรรคแกนนำ วานนี้พรรคเพื่อไทยและพรรคการเมืองอื่นๆ อีก 11 พรรค แถลงร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และไม่มีพรรคก้าวไกลเข้าร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลได้มีการจัดสรรตำแหน่งในการบริหารประเทศไว้ ดังนี้
พรรคเพื่อไทย รัฐมนตรีว่าการ 8 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย-รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 9 ตำแหน่ง
พรรคภูมิใจไทย รัฐมนตรีว่าการ 4 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 4 ตำแหน่ง
พรรคพลังประชารัฐ รัฐมนตรีว่าการ 2 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 2 ตำแหน่ง
พรรครวมไทยสร้างชาติ รัฐมนตรีว่าการ 2 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 2 ตำแหน่ง
พรรคชาติไทยพัฒนา รัฐมนตรีว่าการ 1 กระทรวง
พรรคประชาชาติ รัฐมนตรีว่าการ 1 กระทรวง
ทั้งนี้ หากการโหวตไม่พลิกโผ จะเป็นบวกต่อบรรยากาศลงทุน จับตาการโหวตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีวันนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวความไม่แน่นอนของการโหวตแคนดิเดตตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ คุณเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งจะเป็นปัจจัยชี้ถึงอำนาจต่อรองของพรรคเพื่อไทย ตลอดจนถึงความสามารถในการผลักดันนโยบายสำคัญที่หาเสียงไว้ โดยเฉพาะ Digital Wallet, การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ, การสนับสนุนราคาสินค้าเกษตร ฯลฯ การลงคะแนนในวันนี้จะเป็นการบ่งชี้ถึงผลลัพธ์ของการต่อรองทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเรามีมุมมองดังนี้
1. คุณเศรษฐา ได้รับการรับรองให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด ทั้งจากนโยบายที่หารือไว้ และการส่งสัญญาณว่าการต่อรองทางการเมืองเฉพาะหน้าได้จบลงแล้ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อภาพรวมตลาด หุ้นในกลุ่มการเงิน (Finance) และกลุ่มหุ้นเกี่ยวข้องกับการเมือง
2. คุณเศรษฐา ไม่ได้รับการรับรอง จะเป็นปัจจัยลบกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตลาดจะกลับมากังวลการใช้จ่ายงบประมาณที่ล่าช้าซ้ำเติมภาพการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ หลังสภาพัฒน์ปรับลดเป้าการเติบโตเศรษฐกิจไทย (GDP) ปีนี้เหลือ 2.75% จากเดิม 3.2% จากการชะลอตัวของการใช้จ่ายภาครัฐฯ
ปัจจัยภายนอกติดตามการประชุมประจำปีธนาคารกลางสหรัฐฯ และแผนแก้ปัญหาเศรษฐกิจของจีน ติดตามการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ Jackson Hole ที่คาดว่าจะมีการส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญๆ อาทิ สหรัฐฯ, ยุโรป และญี่ปุ่น ขณะเดียวกันติดตามการดำเนินนโยบายของรัฐบาลจีน และธนาคารกลางจีนในการแก้ปัญหาวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุน
บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลมีมติร่วมกันเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยต่อรัฐสภา โดยจำนวนเสียงสนับสนุนล่าสุดมีอยู่ 314 เสียง ซึ่งต้องหาเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกอีก 61 เสียง จึงจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้ โดยท่าทีของ สว. ล่าสุดมีโอกาสสูงที่ทำให้การโหวตนายกฯ รอบที่ 3 มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น (>375 เสียง) กระบวนการหลังจากนั้น คือ แต่งตั้ง ครม. ชุดใหม่ช่วงปลายเดือน ส.ค. 66
ประเด็นดังกล่าว หากเป็นผลสำเร็จจริง ก็จะช่วยลดความกังวลเรื่องสุญญากาศทาง การเมืองและงบประมาณประจำปี 2567 ไปได้ระดับหนึ่ง และน่าจะทำให้ SET Index ตอบสนองเชิงบวกได้ ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้แถลงว่าจะยึดนโยบายที่หาเสียงไว้กับ ประชาชนเป็นนโยบายหลักในการบริหารประเทศ เช่น Digital Wallet, ที่ดินทำกิน, ขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 600 บาท ภายในปี 2570, เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท, เกณฑ์ทหารโดยสมัครใจ, เพิ่มราคาพืชผลเกษตร, แก้ปัญหาความขัดแย้งและสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้, กัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ และจะแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งกลุ่มหุ้นที่คาดว่าสามารถจะเก็งกำไรได้จากประเด็นดังกล่าว คือ หุ้น กลุ่มค้าปลีก เช่าซื้อ อสังหาฯ ท่องเที่ยว
อาทิ CRC CPALL BJC TIDLOR MTC SAWAD LH SC SIRI PR9 CENTEL ERW MINT เป็นต้น สรุป ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินการจัดตั้งรัฐบาลมีโอกาสราบรื่น และรู้ตัวนายกฯ ในวันนี้ หนุน SET Index ช่วงสั้นกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านแรกที่ระดับ 1545 จุด ขณะที่หลังจากจัดตั้งรัฐบาลและได้ชุด ครม. เรียบร้อย คาดเห็นการผลักดันนโยบายของแต่ละพรรค เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไป.