หุ้นตระกูล JMART บวกยกแผง เชื่อ “วิกฤติ” ในบริษัทลูกจบหมดแล้ว

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

หุ้นตระกูล JMART บวกยกแผง เชื่อ “วิกฤติ” ในบริษัทลูกจบหมดแล้ว

Date Time: 17 ส.ค. 2566 16:32 น.

Video

ล้วงลึกอาณาจักร “PCE” สู่บริษัทมหาชน ปาล์มครบวงจร | On The Rise

Latest


 

ราคาหุ้นของกลุ่ม JMART หรือ บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER โดยนักวิเคราะห์ มองว่า ผลการดำเนินงานของ JMART ที่ขาดทุน 611 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 นั้นจบแล้ว

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เผยว่า หุ้น JMART รายงานขาดทุนสุทธิในงวดไตรมาสที่ 2 ที่ 611 ล้านบาท แย่กว่าไตรมาสที่ 1 ที่ขาดทุนสุทธิ 295 ล้านบาท เป็นเพราะมี ค่าใช้จ่ายพิเศษรวม 893 ล้านบาท (ขาดทุนจากเงินลงทุนใน บมจ.น้ำตาลบุรีรัมย์ หรือ BRR และ บมจ.เอสจี แคปปิตอล หรือ SGC รวมกัน 285 ล้านบาท และรับส่วนแบ่งผลขาดทุนถึง 608 ล้านบาท จาก บมจ.ซิงเกอร์ ประเทศไทย หรือ SINGER

ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการตัดหนี้สูญ และสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดจะเกิดขึ้น หากไม่รวมรายการพิเศษ จะมีกำไรสุทธิ 282 ล้านบาท โดยประเด็นสำคัญที่กดดันการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 มีดังนี้ 

1. รายได้ลดลงเหลือ 3.3 พันล้านบาท หรือลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.2% เป็นเพราะ ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้ามือถือมีรายได้ที่ลดลงเหลือ 1.98 พันล้านบาท ตามยอดขายที่ลดลงจากช่องทางจำหน่ายผ่าน SINGER-ธุรกิจติดตามหนี้ (JMT) มีรายได้โตขึ้นเป็น 1.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7% ตามความสามารถจัดเก็บหนี้ที่ดีขึ้น และพอร์ตลูกหนี้ที่เพิ่ม

2. ธุรกิจให้เช่าพื้นที่และอื่นๆ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 39%

3. ค่าใช้จ่ายขายและบริหารลดจากไตรมาสก่อน 6% คาดมาจากงบการตลาดที่ใช้น้อยลง ของธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้ามือถือ แต่เพิ่มถึง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากค่าใช้จ่าย พนักงานและค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นของ JMT

4. ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มเป็น 263 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 56% เพราะงวดนี้ มีหนี้สินเพิ่ม จากการที่ทั้งบริษัทเอง และ บ.ลูก มีการออกหุ้นกู้เพื่อขยายธุรกิจ

ส่งผลให้เราต้องปรับลดประมาณการปี 2566 เป็นขาดทุน 250 ล้านบาท แต่ปรับ เพิ่มปี 2567 เป็น 1.75 พันล้านบาทตามลำดับ ส่งผลให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ลด จาก 26 บาท เหลือ 24 บาท แต่ปรับคำแนะนำจาก Neutral เป็น Outperform เพราะเชื่อว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในงวดไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา และช่วงครึ่งปีหลัง ดูสดใสขึ้นจาก ธุรกิจจำหน่ายมือถือ และธุรกิจติดตามหนี้ รวมทั้ง SINGER ที่คาดจะทยอยฟื้นตัว

อย่างไรก็ตามเราปรับคำแนะนำสำหรับ JMART จาก “Neutral” ขึ้นเป็น “Outperform” เพราะเชื่อว่าผลการดำเนินงานได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และแนวโน้มที่ดูสดใส ขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากรายได้ที่จะโตขึ้นในทุกๆ ธุรกิจ คือ การจัดจำหน่ายมือถือ (ธุรกิจหลัก) การติดตามหนี้ (ธุรกิจรอง) และพื้นที่ให้เช่า (ธุรกิจรอง) รวมทั้งส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จาก บ.ร่วม ที่คาดจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไปตามการฟื้นตัวของ กลุ่ม SINGER และ BNN (สุกี้ตี๋น้อย) ที่จะมีกำไรโตขึ้นตามการขยายสาขาเพิ่ม และความเสี่ยงจากผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากเงินลงทุน (Unrealized Loss) ใน BRR และ SGC น่าจะต่ำกว่าในไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 หลังจากที่ราคาหุ้นปรับลงมาแล้ว


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์