กิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ Thairath Money ว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงไฟฟ้าในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมานั้น จะพบว่าแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ และกำไรเติบโตค่อนข้างมากกว่าเพื่อน ซึ่งกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับภาคเอกชน และการได้รับผลดีจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
“หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าในรอบไตรมาสล่าสุดจะมีความหลากหลาย โดยบริษัทที่มีกำไรเติบโตได้ดี คือ กลุ่มที่ขายไฟฟ้าภาคเอกชน ที่ถือเป็นไฮซีซั่น มีผู้ใช้ไฟฟ้าในปริมาณที่มาก และกลุ่มที่มีธุรกิจจากต่างประเทศรับประโยชน์ค่าค่าเงินบาท”
ส่วนกลุ่มที่เน้นการขายไฟฟ้าให้กับภาคอุตสาหกรรมนั้น ยังเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากต้นทุนค่าก๊าซจะลดลงมา แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูง และบางแห่งอาจยังไม่ได้รับประโยชน์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองการลงทุนหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ส่วนตัวมองว่าอาจไม่ใช่จังหวะที่ดีนัก แม้ว่าผลประกอบการของหุ้นหลายตัวออกมาดีตามที่คาด แต่ด้วยแวลูเอชันของหุ้น ระดับ P/E ในปัจจุบันไม่ถือว่าถูก ตลาดคาดหวังกับหุ้นกลุ่มนี้มาก ดังนั้น ควรรอจังหวะในการลงทุน โดยมองหุ้น EGCO บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) น่าสนใจเข้าลงทุน
เอกราช ศรีศุภวิชากิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาดิจิทัลและออนไลน์ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี เปิดเผยกับ Thairath Money ว่า ความเคลื่อนไหวของหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ผ่านมาถูกกดดันด้วยปัจจัยการเมือง โดยเฉพาะก่อนเลือกตั้ง ที่หากบางพรรคการเมืองเข้ามาเป็นรัฐบาล อาจส่งผลกระทบต่อความไม่มั่นคงของบางกลุ่ม ทำให้เกิดแรงเทขายออกมา
อย่างไรก็ตาม หลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เริ่มมีความชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้นักลงทุนเริ่มมั่นใจมากขึ้น และมองว่าน่าจะส่งผลดีให้กลุ่มโรงไฟฟ้าคึกคักอีกครั้ง
บล.กรุงศรี ประเมินการเติบโตของ GULF ว่า ข้อมูลจากการประชุมนักวิเคราะห์อยู่ในเชิงบวก ผู้บริหารมั่นใจแนวโน้มการเติบโตในภาพรวมของทั้งธุรกิจโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม (IPP หินกอง กำลังการผลิต 755MWe) และพลังงานหมุนเวียน อย่างเช่น โครงการพลังงานหมุนเวียนในประเทศ 5.2GW (GULF ชนะประมูลประมาณ 2GWe) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาว (ปากแบง กำลังการผลิต 447MWe)
ทั้งนี้ GULF คาดว่าจะนำเข้า LNG สำหรับโรงไฟฟ้า IPP หินกอง (HKP) ในปีหน้า บริษัทคาดว่าจะเริ่มนำเข้า LNG cargo แรกสำหรับโรงไฟฟ้า HKP ในปีหน้า โดยในปัจจุบัน GULF อยู่ระหว่างเจรจากับ supplier LNG และคาดว่าจะเซ็นสัญญา 3 ปีได้ภายใน 1-2 เดือนนี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงของการทดสอบเดินเครื่อง และเริ่มเปิดดำเนินการ จะใช้ก๊าซจาก PTT ไปก่อน ทั้งนี้ คาดว่า HKP จะใช้ LNG ประมาณ 1MTPA (โควตาการนำเข้าตามใบอนุญาต LNG shipper อยู่ที่ 1.4 MTPA) โดย GULF จะทำสัญญาซื้อ LNG 15 ปี หลังจากที่สัญญาแรกหมดอายุ และมีแผนจะนำเข้า 3-4MTPA สำหรับโครงการ IPPs อื่นๆ อีก (GULF SRC, GULF PD กำลังการผลิตรวม 3.5GWe)
ส่วนความคืบหน้าโครงการพลังงานหมุนเวียนในประเทศ กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบสัญญาโดยสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งเราคาดว่าบริษัทจะเซ็นสัญญาได้ภายในไตรมาสที่ 3 หรือต้นไตรมาสที่ 4 หลังจากที่ตั้งรัฐบาลใหม่ได้แล้ว ทั้งนี้ GULF อยู่ระหว่างเจรจากับสถาบันการเงิน และ supplier เพื่อหาทางเพิ่มผลตอบแทนของโครงการ ในขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง (447MWe) ก็ได้ลงนามในสัญญาสัมปทานกับรัฐบาลลาวไปเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเซ็นสัญญา PPA กับ กฟผ. ภายในเดือนกันยายน 2023 โดยมีกำหนด SCOD ในเดือนมกราคม 2033.