โดยล่าสุด บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ได้แจ้งผลการดำเนินงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ปริมาณการจัดส่งพัสดุของบริษัทลดลง 3% จากไตรมาสแรกของปี 2566 ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์จากช่องทางธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce)
บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการในไตรมาส 2/2566 ทั้งสิ้น 2,923.3 ล้านบาท ลดลง 6.6% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับตัวลดลงของปริมาณการจัดส่งพัสดุของผู้ใช้บริการประเภท B2B และ B2C เช่นเดียวกับการปรับตัวลดลงเล็กน้อยของรายได้เฉลี่ย จากการส่งพัสดุต่อหน่วยระหว่างไตรมาส 2/2566
บริษัทและบริษัทย่อยมีผลขาดทุนสุทธิส่วนของผู้เป็นเจ้าของบริษัททั้งสิ้นรวม 1,047.7 ล้านบาท ซึ่งเป็นผล ขาดทุนสุทธิที่เพิ่มขึ้น 33.0% จากไตรมาสที่ 1/2566 สําหรับการพัฒนาความสามารถในการทํากําไรของ บริษัท บริษัทตั้งเป้าที่จะมุ่งเน้นการดําเนินกลยุทธ์การตลาดตามกลุ่มผู้ใช้บริการ (Market Segmentation) หรือ การจัดกลุ่มผู้ใช้บริการเพื่อเสนอการบริการที่เหมาะสม
โดยมุ่งเน้นการขยายตลาดระดับกลางถึงบน ที่ให้ราคาและผลตอบแทนในระดับสูง นอกจากนั้น ด้วยความร่วมมือและการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่าง S.F. Holding ให้ความช่วยเหลือผ่านทาง SF Express โดยบริษัทจะดําเนินการปรับโครงสร้างเครือข่ายการดําเนินงาน การลงทุนในเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติต่างๆ การพัฒนาด้านดิจิทัลและพัฒนาด้านแพลตฟอร์มและเทคโนโลยี โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงาน บริษัทตั้งเป้าหมายในการกลับมามีผลกําไรจากการดําเนินงานรายเดือนภายในปี 2567 จากแนวคิดที่ความสามารถในการทํากําไร และความเป็นผู้นําตลาดควรถูกขับเคลื่อนโดยความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าและพนักงานขนส่งแนวหน้า นี่เป็นหลักการพื้นฐาน SF Express นํามาใช้ปฏิบัติ ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา และบริษัทเห็นด้วยในหลักการนี้เป็นอย่างยิ่ง
บล.กรุงศรี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ KEX ในไตรมาสที่ 2 ที่รายงานออกมา ขาดทุนสุทธิ 1 พันล้านบาท หนักขึ้นจากที่ขาดทุน 732 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 และ 787 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 ทั้งนี้ ผลประกอบการออกมาต่ำกว่าประมาณการของเราเล็กน้อย แต่ต่ำกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์ในตลาดอย่างมาก เนื่องจากรายได้ลดลง ในขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น
โดยรายได้ลดลงถึง 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 7% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณพัสดุลดลงเพราะธุรกิจ e-commerce ชะลอตัวลง และราคาค่าจัดส่งยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน แม้ว่าต้นทุนค่าบริการจะลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่กลับเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน สวนทางกับรายได้ โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากต้นทุนพนักงานที่สูงขึ้น
สำหรับการเติบโตในอนาคต เราที่คาดว่าจะขาดทุนหนักแล้วยังมี downside อีก KEX มีผลขาดทุนจากธุรกิจหลักในงวดครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท ในขณะที่เราคาดว่าผลขาดทุนเต็มปีจะอยู่ที่ 3 พันล้านบาทในปี 2566 เรามองว่าประมาณการของเรายังมี downside อีก เพราะเรายังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวใดๆ จากงบไตรมาส 2 ที่รายงานออกมา
โดย บล.กรุงศรี คงคำแนะนำ “ขาย” แม้ว่าราคาหุ้นจะร่วงลงมาแรงแล้วในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เพราะ KEX ยังคงมีผลขาดทุนต่อเนื่อง และขาดทุนหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยยังไม่เห็นสัญญาณของการฟื้นตัวเลย