ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 20 ก.ค.66 ปิด 1,521.18 จุด ลดลง 15.46 จุด มูลค่าซื้อขาย 51,751.76 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,702.73 ล้านบาท
บล.ไทยพาณิชย์ มองตลาดช่วงสั้นถูกกดดันจากการเมืองในประเทศ แนะกลยุทธ์ลงทุน “Selective Buy” หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้ 1.หุ้นที่คาดผลดำเนินงาน 2Q66 ยังเติบโตดี YoY เลือก BBL-ADVANC- OSP-BDMS-BEM 2.หุ้นพื้นฐานดีจ่ายปันผลสูง ให้ Div. Yield ปี 66 มากกว่า 5% เลือก TISCO- LH-PTT 3.นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ แนะเก็งกำไรหากการเมืองเปลี่ยนเลือก GULF-GPSC-CPALL-SIRI-SC 4.หาก SET ลงมาแถว 1,450 จุด เป็นโอกาสซื้อหุ้นที่ราคาลงลึกจนซื้อขายด้วย PER และ PBV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -1SD เลือก CRC-SCGP-OR
ช่วงสั้นเลี่ยงลงทุน 1.หุ้นกลุ่มอาหาร (TU-CPF-GFPT-BTG) มีโอกาสที่ตลาดจะปรับลดคาดการณ์กำไรลงหลังแจ้งงบ 2Q66 ซึ่งคาดภาพรวมอ่อนตัวทั้ง YoY และ QoQ 2.หุ้นที่ได้ผลกระทบจากเอลนีโญ กำลังซื้อภาคเกษตรที่ลดลง คือกลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) สินเชื่อ (MTC-SAWAD) ยานยนต์ (SAT-STANLY) เครื่องดื่ม (CBG ต้นทุนน้ำตาลสูง) โรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) เกษตรอาหาร (CPF-GFPT) 3.ท่องเที่ยวได้ผลกระทบจากการเมือง
ด้าน บล.กรุงศรี พัฒนสิน ประเมินว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นมากที่สุด 85% คือกรณีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลและพลิกขั้วไปจับพรรคว่าที่ฝ่ายค้านมีเสียงราว 280-310 เสียง SET จะแกว่งในกรอบ 1,620-1,680 จุด
หุ้นเคลื่อนไหวดีกว่าตลาดคือกลุ่มพลังงาน (PTT, PTTGC, GULF, BGRIM, GPSC) เทคโนโลยี (ADVANC, TRUE, THCOM, BE8) รับเหมาฯ (ITD, STEC, SKY, CK) กลุ่มอิงการบริโภคภายใน คือธนาคาร (BBL, KTB, TTB, KBANK, SCB) ค้าปลีก (CPALL, CPAXT, CRC, GLOBAL, DOHOME) นิคมฯ (AMATA, WHA) ท่องเที่ยว (AOT, ERW, CENTEL)
กรณีเพื่อไทยเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล+ 8 พรรคร่วมฯปัจจุบัน 310 เสียง และมี MOU ไม่แตะ ม.112 เปิดทางพรรคอื่นร่วมรัฐบาลคือ+ภูมิใจไทย 71 เสียง จะได้เสียง 381 เสียง มีเจตจำนงเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มีโอกาสเกิดขึ้น 10% จะหนุน SET ปลายปี 66 แกว่งขึ้นกรอบ 1,680-1,720 จุด
ขณะที่การจัดตั้งรัฐบาลจะอยู่ในลักษณะเสียงข้างน้อยคือ ว่าที่พรรคร่วมฝ่ายค้านปัจจุบัน มีโอกาสเกิดขึ้นแค่ 5% หากเกิดขึ้นจริงจะกดดัน SET จากการขับเคลื่อนนโยบายขาดเสถียรภาพและมีความเสี่ยงการชุมนุมที่จะตึงเครียดมากสุดในทุกกรณี.
อินเด็กซ์ 51