กำลังจะเดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์สำหรับ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ หุ้น KCG ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภค ซึ่งเน้นผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและขนมตะวันตก โดยเป็นเจ้าของคุกกี้กล่องแดงอย่าง Imperial โดยมีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้
ทั้งนี้ KCG ได้เคาะราคาขายไอพีโอที่ 8.50 บาทต่อหุ้น ทำให้เกิดคำถามว่า ราคาหุ้นนี้น่าสนใจหรือไม่ และแพงไหมเมื่อเทียบกับเพื่อนในกลุ่ม ในวันนี้ #ThairathMoney จะมาช่วยหาคำตอบ
KCG ที่ราคา 8.50 บาท มาจากไหน?
KCG นั้นดำเนินธุรกิจมายาวนาน โดยมี 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการประกอบอาหารและเบเกอรี และผลิตภัณฑ์อื่นๆ และกลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต
KCG ระบุข้อมูลในหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ว่าการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ที่เสนอขายในครั้งนี้ ได้มีการพิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ซึ่งเป็นวิธีการสอบถามปริมาณความต้องการซื้อหุ้นสามัญของนักลงทุนสถาบันในแต่ละระดับราคา โดยการตั้งช่วงราคา (Price Range) ในระดับต่างๆ กัน แล้วเปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันแจ้งราคาและจำนวนหุ้นที่ประสงค์จะจองซื้อมายังผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ทั้งนี้ บริษัทฯ ร่วมกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายได้กำหนดราคาหุ้นสามัญที่จะเสนอขายในครั้งนี้ที่ราคา 8.50 บาทต่อหุ้น โดยได้พิจารณาจากราคาและจำนวนหุ้นที่นักลงทุนสถาบันเสนอความต้องการซื้อเข้ามา โดยเป็นราคาที่จะทำให้บริษัทฯ ได้รับเงินตามจำนวนที่ต้องการ และยังมีความต้องการซื้อหุ้นเหลืออยู่มากพอในระดับที่คาดว่าจะทำให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพในตลาดรอง
KCG พี/อี เท่าไร?
การเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทฯ ในครั้งนี้ที่ราคา 8.50 บาทต่อหุ้น หากพิจารณาผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (วันที่ 1 เมษายน 2565-วันที่ 31 มีนาคม 2566) ซึ่งเท่ากับ 267.28 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ หลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Fully Diluted) ซึ่งเท่ากับ 545 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.49 บาทต่อหุ้น จะคิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ประมาณ 17.33 เท่า
หุ้น KCG แพงไหม เทียบกับเพื่อนในกลุ่ม
ในการพิจารณาข้อมูลประกอบการประเมินราคาหุ้นที่เสนอขาย บริษัทฯ ได้ทำการเปรียบเทียบข้อมูลทางการเงินกับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยพิจารณาจากบริษัทที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่คล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ ภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยบริษัทที่นำมาเปรียบเทียบ มีดังนี้
NSL หรือ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ผลิตและจำหน่ายสินค้าเบเกอรี อาหารรองท้อง และขนมขบเคี้ยว รวมทั้งนำเข้าและจำหน่ายเนื้อสัตว์และผักแช่แข็ง อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) 21.55 เท่า
SNP หรือ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ร้านอาหารและร้านเบเกอรี รวมทั้งผลิตและจำหน่ายสินค้าเบเกอรี อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) 18.87 เท่า
XO หรือ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหาร เครื่องประกอบอาหาร อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน และอาหารกึ่งสำเร็จรูปต่างๆ อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) 25.90 เท่า
PB หรือ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ผลิตและจำหน่ายขนมปังและเบเกอรี ภายใต้แบรนด์ ฟาร์มเฮ้าส์ โดยมีสายธุรกิจแบ่งเป็นเบเกอรีค้าส่ง ค้าปลีก ธุรกิจฟาสต์ฟู้ด และขายต่างประเทศ อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) 16.59 เท่า
SNNP หรือ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว เช่น เยลลี่พร้อมดื่ม ภายใต้ตราสินค้าเจเล่ ปลาหมึกเส้นภายใต้ตราสินค้าเบนโตะ และขนมปังแท่งภายใต้ตราสินค้าดอกบัว โลตัส อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) 40.12 เท่า
TKN หรือ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) บริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า "เถ้าแก่น้อย" รวมถึงขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) 26.41 เท่า
PM หรือ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) จัดจำหน่ายและเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภค แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์ลูกอม ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) 20.04 เท่า
อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานดังกล่าวคำนวณจากฐานะทางการเงินในอดีต โดยที่ยังมิได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงาน หรือความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในปัจจุบันและอนาคต และไม่ได้เป็นอัตราส่วนที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้โดยตรง เนื่องจากเป็นการคำนวณอัตราส่วนในช่วงเวลาที่ต่างกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนควรพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการลงทุน
ทั้งนี้ KCG มีวัตถุประสงค์การใช้เงินไอพีโอ รวมทั้งสิ้น 1,272.3 ล้านบาท เพื่อลงทุนในการก่อสร้างและพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า KCG Logistics Park และลงทุนซื้อเครื่องจักร เพื่อขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงพื้นที่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณภาพการผลิต และชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน.