ก.ล.ต.ต้องเปลี่ยน

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ก.ล.ต.ต้องเปลี่ยน

Date Time: 4 ก.ค. 2566 05:30 น.

Summary

  • ภายหลัง 11 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทย ได้ผนึกกำลังร่วมแถลงข่าว เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน หลังเกิดหายนะจากปฏิบัติการปล้น!! ของกลุ่มผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องใน บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น หรือ STARK ที่สร้างรอยด่างให้กับองค์กรกำกับดูแลและหน่วยงานในตลาดทุนไทยหนักหน่วงที่สุดเป็นประวัติการณ์

Latest

เก็บหุ้นปันผล

ภายหลัง 11 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทย ได้ผนึกกำลังร่วมแถลงข่าว เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน หลังเกิดหายนะจากปฏิบัติการปล้น!! ของกลุ่มผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องใน บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น หรือ STARK ที่สร้างรอยด่างให้กับองค์กรกำกับดูแลและหน่วยงานในตลาดทุนไทยหนักหน่วงที่สุดเป็นประวัติการณ์

ลากทุกองคาพยพของตลาดทุนไทย เข้าสู่ความสูญเสียอย่างมหาศาล ทั้งที่เป็นตัวเงิน และความเชื่อมั่นที่ “ล้มละลาย” ซึ่งไม่ อาจประเมินค่าได้

หากให้สรุปและประเมินผลจาก 11 หน่วยงานที่ออกมาร่วมกัน เรียกความเชื่อมั่นนั้น แทบไม่มีอะไรที่เหนือความคาดหมาย หน่วยงานที่นักลงทุนฝากความหวังไว้สูงสุดคือ สำนักงาน ก.ล.ต. ที่ยังท่องคาถาเดิมๆ คือ กำลังตรวจสอบข้อมูลหลักฐานเพื่อหาผู้กระทำผิด ถามว่าเบื้องต้นมีการกระทำที่เข้าข่ายความผิดมาตราใด ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์บ้าง!! ก็ตอบไม่ชัด บอกไม่ได้ เมื่อถูกถามจี้ ก็บอกแค่ข้อหารายงานหรือเปิดเผยข้อมูลอันเป็นเท็จ

ส่วนที่ถามว่า ก.ล.ต.จะเข้าไปเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษคดีนี้ด้วยหรือไม่อย่างไรนั้น ก็บ่ายเบี่ยง เลี่ยงที่จะตอบคำถาม การที่สื่อจำเป็น ต้องถาม เพราะผู้บริหารหรือกรรมการ STARK ที่ชิงไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ตำรวจเศรษฐกิจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้ามาสืบสวนสอบสวนการกระทำผิด หรือการทุจริตภายในบริษัทนั้น เป็น ผู้ที่นักลงทุนหรือผู้ถือหุ้น เคลือบแคลงสงสัยว่า อาจจะรู้เห็นหรืออาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้วยหรือไม่ แม้จะเป็นเพียงข้อสงสัย เท็จ-จริงยังต้องพิสูจน์!!

แต่ต้องการให้ ก.ล.ต.พูดออกมาเสียงดังฟังชัด ให้นักลงทุนผู้เสียหายมั่นใจว่า ก.ล.ต. ในฐานะผู้กำกับดูแลผู้ถือกฎหมายและมีหน้าที่คุ้มครองผู้ลงทุน ที่รณรงค์ชักชวนให้ประชาชนเอาเงินออมมาลงทุน ให้ภาคธุรกิจได้มีเงินไปขยายธุรกิจนั้น ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่และเต็มความสามารถจริงๆแล้วหรือไม่

ข้อเท็จจริงจากข้อมูลที่เปิดมา คดีนี้มีการกระทำผิดตกแต่งบัญชีที่ STARK ปั้นยอดขายเท็จ ลูกหนี้เทียม เจ้าหนี้ปลอมมาตั้งแต่ปี 64 และอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 63 ด้วยซ้ำ (ขณะนี้มีข้อมูลตรวจย้อนหลังถึงแค่ปี 64) และแต่งบัญชีแจ้งข้อมูลเท็จมาถึงปี 65

ที่ความมาแตก เรื่องมาแดง ไม่ได้เกิดจากความสามารถหรือการทำงานเชิงรุกของ ก.ล.ต.ที่ ไปตรวจเจอความผิดปกติ หากแต่เป็นเพราะ “ผู้ร้าย” เดินมาจนมุมเอง เพราะ เมื่อ STARK ส่งงบการเงินไตรมาส 4 ปี 65 และงบงวดรวมทั้งปี 65 ไม่ได้ จึงทำให้ ก.ล.ต.เข้าไปสอบถามและสั่งให้ชี้แจง และไล่บี้ให้ส่งงบปี 65 ที่ถูกเลื่อนการส่งออก ไปเรื่อยๆ จนเมื่อเปลี่ยนผู้สอบบัญชีรายใหม่ ถึงได้พบความจริงที่ว่า งบการเงินทั้งปี 64-65 นั้นบริษัทขาดทุนย่อยยับ จนส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ไม่ได้กำไรสวยหรูอย่างที่เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ไปก่อนหน้านี้!!

แถมงานนี้ ก.ล.ต.ก็ยังไม่ได้แสดงบทบาทการเป็นเจ้าภาพร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำผิดอีกด้วย เพราะเรื่องไปถึงดีเอสไอก่อน โดยล่าสุด พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดี DSI เผยว่า สัปดาห์นี้ เตรียมออกหมายเรียกผู้ต้องหากลุ่มแรก 3 ราย พร้อมยอมรับว่า มีผู้ต้องหาบางรายได้หลบหนีไปต่างประเทศแล้ว!!

และจะเรียกพยานมาสอบหาหลักฐานเพิ่ม เพื่อชี้ไปถึงตัวการและผู้สนับสนุนที่ร่วมกระทำผิด ก่อนออกหมายเรียกและแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาเพิ่มเติม ซึ่งยังมีอีกหลาย โดย DSI พบมูลค่าความเสียหายในคดีนี้ ตั้งแต่ 5 หมื่นล้านบาท ถึง 1 แสนล้านบาท!!

และ เบื้องต้น DSI เตรียมขออายัดเงินในบัญชีธนาคารผู้ต้องหา 3 ราย มูลค่ารวมราว 100 ล้านบาท!! ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ DSI ยังยอมรับว่า การรวบรวม พยานหลักฐานมาดำเนินคดีเอาคนผิดมาลงโทษไม่ยาก แต่ที่ยาก คือการติดตามเงินหรือทรัพย์สินที่ทุจริตออกไปจากบริษัท

งานนี้ เข้าตำรา กว่าถั่วจะสุก ไฟไหม้บ้าน!! เพราะโจรมัน ยักย้ายถ่ายเท ทำลายหลักฐาน ขนเงินออก เปิดก้นหนีไปถึงไหน แล้ว จึงมีคำถามว่า ก.ล.ต.ต้องตื่นตัวทำงานเชิงรุก เพื่อให้เท่าทันเหตุ เท่าทันโจร มากกว่านี้หรือไม่ และก่อนหน้านี้ที่ ก.ล.ต.ไล่บี้รอให้ STARK ส่งงบการเงินนั้น ก.ล.ต.ได้เข้าไปทำงานเชิงรุก หาข้อมูลหรือทำงานร่วมกับสอบบัญชีหรือไม่

เพราะกรณีนี้เห็นสัญญาณชัดเจนว่าผิดปกติ หรือ “มีกลิ่น” ไม่ดีตั้งแต่ต้นแล้ว

นักกฎหมายและอดีตผู้บริหารที่ครํ่าหวอดในวงการตลาดทุน ชี้ช่อง ให้เห็นว่า หาก ก.ล.ต.จะตื่นตัวทำงานให้หนักให้มากและ เร็วกว่านี้ เพื่อปกป้องทรัพย์สินของนักลงทุนที่โดนปล้นไปนั้น

พ.ร.บ.หลักทรัพย์ มาตรา 267 ได้เปิดให้ ก.ล.ต.ใช้กฎหมายที่มีอยู่ในมือ โดยขอให้ยึดหรืออายัดทรัพย์ของ บุคคลที่มีหลักฐานว่า กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ประชาชน ได้เป็นเวลา 180 วัน โดยเสนอให้บอร์ด ก.ล.ต.เห็นชอบ นอกจากนี้ ยังเปิดช่องให้สามารถร้องขอให้ศาลอาญามีอำนาจสั่งห้ามมิให้บุคคลดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักร เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้น จะหลบหนีออก

คดีความผิดร้ายแรงที่ทำลายทุกองคาพยพของตลาดทุนเช่นนี้ ขณะที่โจรใช้จรวดยิงถล่มตลาดทุนไทยจนเสียหายย่อยยับ ก.ล.ต. ต้องหยุดรำกระบี่กระบอง ท่องคาถาทำงานอยู่ในกรอบแบบเดิมๆ และ ต้องยกระดับ ปรับปรุงกระบวนคิดและการทำงานของตัวเองเสียใหม่!!

วณิชยา แสงทอง


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ