คุณธวัชชัย พิทยโสภณ รองเลขาธิการ รักษาการเลขาธิการ ก.ล.ต. ระดมหน่วยงานตลาดทุน ตั้งแต่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ สภาวิชาชีพบัญชี ไปจนถึง สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ร่วมกันแถลงข่าวกรณี บมจ.สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อภาพรวมของตลาดทุน แต่กลับไม่มีการแถลงถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา หรือการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการลงทุนในหุ้นและหุ้นกู้ STARK ได้แต่ยอมรับสารภาพว่า ตลาดทุนมีช่องโหว่กำลังอยู่ระหว่างการแก้กฎหมาย สุดท้าย คนโกงอาจลอยนวลหอบเงินหลายหมื่นล้านไปเสวยสุขในต่างประเทศ เหมือนหลายกรณีที่ผ่านมา
ช่วงที่ สตาร์ค สร้างราคาขึ้นไปสูงสุดหุ้นละ 5.50 บาท มีมูลค่าตลาดกว่า 73,733 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือหุ้นละ 0.02 บาท มูลค่าหุ้นเหลือ 268 ล้านบาท หายวับไปกว่า 73,465 ล้านบาท ยังไม่รวมหุ้นกู้อีก 9 พันกว่าล้านบาท
คุณธวัชชัย แถลงว่า ก.ล.ต.ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เช่น สั่งให้บริษัทเปิดเผยข้อมูล ขยายขอบเขตการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (special audit) เพิ่มเติม แจ้งเตือนผู้ลงทุน แต่ ก.ล.ต.ไม่สามารถตรวจสอบและเอาผิดกับบริษัทผู้สอบบัญชีได้ (อึ้งไหม) เพราะมีอำนาจตามกฎหมายในการให้ความเห็นชอบผู้สอบบัญชีเท่านั้น ยอมรับว่ามีช่องโหว่ กำลังอยู่ระหว่างแก้กฎหมาย ส่วนการตรวจสอบผู้สอบบัญชี ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม หากพบว่ามีส่วนรู้เห็นการกระทำความผิดก็จะมีโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดทุจริตรายอื่น มีโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะมีการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องรายใด
ในขณะที่ นายสุพจน์ สิงห์เสน่ห์ เลขาธิการ สภาวิชาชีพบัญชี แถลงเพียงสั้นๆว่า สภาวิชาชีพบัญชีพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำรงไว้ซึ่งความเชื่อมั่นในวิชาชีพบัญชีและตลาดทุนไทย ฟังแล้วไม่มีสาระอะไร ทำไมไม่แสดงความรับผิดชอบด้วยการตรวจสอบบริษัทผู้สอบบัญชียักษ์ใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นสมาชิกอยู่แล้ว เพื่อแสดงความรับผิดชอบในฐานะสภาวิชาชีพบัญชี
คุณธวัชชัย แถลงด้วยว่า เวลานี้ ก.ล.ต.ยังไม่มีการยึดอายัดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องรายใด เนื่องจากเป็นกรณีที่แตกต่างจาก บมจ.มอร์ รีเทิร์น (MORE) ที่มีผู้เกี่ยวข้องและผู้เสียหายชัดเจน ยังต้องรวบรวมหลักฐานต่างๆอีกมาก ในมุม ก.ล.ต.การบังคับใช้กฎหมายทุกคนคาดหวังความรวดเร็วและเฉียบขาด เรื่องนี้ทีมงาน ก.ล.ต.ไม่ได้นิ่งนอนใจ บางเรื่องต้องขอความร่วมมือกับ ปปง. และดีเอสไอ
ฟัง คุณธวัชชัย แถลงแล้ว ผมก็นึกถึงการปกป้องนักลงทุน ของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ กับกรณี Binanca.US ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้
ก.ล.ต.สหรัฐฯ ไม่เพียงยื่นฟ้องไบแนนซ์ในข้อหา บริหารจัดการเงินผิดพลาด ทำให้เงินของนักลงทุนตกอยู่ในความเสี่ยง แต่ ก.ล.ต.สหรัฐฯ ยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลสหรัฐฯ ขออายัดทรัพย์สินทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Binanca.US และ นายจ้าว ฉางเผิง ผู้ก่อตั้งไบแนนซ์ โดย ก.ล.ต.สหรัฐฯได้สั่งอายัดทรัพย์สินของนายจ้าวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินส่วนตัว อย่างเรือยอชต์มูลค่า 11 ล้านดอลลาร์ คริปโตเคอร์เรนซีในครอบครองทุกสกุล เพื่อให้แน่ใจว่า ทรัพย์สินของผู้ลงทุนจะปลอดภัย ไม่ปล่อยให้ลอยนวลไปเสพสุข
ดูการทำงานของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ แล้วก็ได้แต่ชื่นใจ เขามีการทำงานอย่างรอบคอบ เพื่อปกป้องทรัพย์สินของนักลงทุนทุกระดับ สั่งอายัดทรัพย์สินทุกอย่างของผู้ถูกกล่าวหาล่วงหน้า รวมทั้งทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ก่อตั้งเจ้าของบริษัท เพื่อให้แน่ใจว่าเงินของนักลงทุนไม่เสียหาย ถ้าสอบแล้วพบว่าไม่ผิด ค่อยปล่อยอายัดทรัพย์สินส่วนตัว
ไม่ใช่อ้างแต่กฎหมาย แล้วปล่อยผู้ร้ายลอยนวล หอบทรัพย์สินไปเสพสุขเมืองนอก ตำรวจไทยก็แฮปปี้ ตามจับทีไรก็ให้คลาดแคล้วกันทุกที.
“ลม เปลี่ยนทิศ”