การตกแต่งบัญชีบริษัท เพื่อแสดงผลกำไรหลอกนักลงทุน ทั้งที่ขาดทุนมาตลอด โดยมีผู้สอบบัญชีระดับยักษ์ใหญ่โลกเซ็นรับรอง ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ แถมยังมีบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ จัด Credit Rating ให้อยู่ในระดับน่าลงทุน BBB+ บวกกับสตอรีที่แต่งเติม ส่งผลให้ บมจ.สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) สามารถหลอกนักลงทุนได้ทั้งตลาด ทั้งนักลงทุนรายย่อยรายใหญ่ที่ลงทุนในหุ้นสตาร์คที่มีการปั่นราคาขึ้นไปจนสูงลิ่ว หุ้นกู้ก็มีอันดับเรตติ้งที่น่าลงทุน แม้แต่บริษัทจัดการกองทุนรวมก็ยังหลงเชื่อเข้าไปลงทุน ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อผู้ลงทุนโดยตรงสูงถึง 60,000-70,000 ล้านบาท แต่ยังได้ทำลายความน่าเชื่อถือของกลไกตลาดทุนอย่างยับเยิน สร้างความเสียหายต่อตลาดทุนไทยทั้งระบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถือเป็นเคสการทุจริตที่ใหญ่ที่สุดในตลาดทุนไทยเลยทีเดียว
กระบวนการฉ้อโกงของหุ้น STARK ในครั้งนี้ ถือว่าโหดเหี้ยมมาก เพราะ ทำลายความน่าเชื่อถือของตลาดทุนไทยทั้งหมด เป็นการบ่อนทำลายเศรษฐกิจของชาติ ที่น่าเศร้าใจก็คือ จนถึงวันนี้การดำเนินการของ รัฐบาล กระทรวงการคลัง และ ก.ล.ต. เพื่อแก้ไขปัญหาและ การดำเนินคดีต่อผู้บริหาร STARK และผู้เกี่ยวข้อง ยังเป็นไปอย่างล่าช้าและไม่ทันเหตุการณ์
หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ก.ล.ต. วันนี้ยังหัวขาด กระทรวงการคลังยังไม่ยอมแต่งตั้งเลขาธิการ ก.ล.ต.คนใหม่ ทั้งที่ เลขาธิการ ก.ล.ต.คนเก่าครบเทอมไปตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนแล้ว การสรรหาเลขาธิการ ก.ล.ต.คนใหม่ก็เสร็จสิ้นไปนานแล้ว มีการเสนอชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกไปยังรัฐมนตรีคลังนานแล้ว แต่การแต่งตั้งก็ยังไม่เกิดขึ้น มีการสั่งให้ตรวจสอบคุณสมบัติเพิ่มเติม แต่ตรวจสอบมานานเกือบจะ 3 เดือนแล้ว ก็ยังตรวจสอบไม่เสร็จสิ้นเสียที ทั้งที่ตรวจสอบเพียงคนเดียว ถ้าจะดึงเกมรอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาแต่งตั้งอาจจะต้องรอไปถึงเดือนสิงหาคม หรือรอไปจนถึงสิ้นปี ถ้ามีการดึงเกมการจัดตั้งรัฐบาลในขณะที่ความเสียหายไม่ได้รับการแก้ไข นักลงทุนต่างชาติก็เผ่นหนี
พฤติกรรมโกงของ STARK ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้าเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เห็นว่า สร้างความเสียหายเยอะ ทั้งนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบันและธนาคารเจ้าหนี้ การตกแต่งบัญชีสร้างตัวเลขเทียมเป็นความผิดที่รุนแรงมาก
ปัญหาของ STARK เกิดจาก กลไกการตรวจสอบ การคานอำนาจของผู้บริหารและฝ่ายตรวจสอบภายใน คณะกรรมการ และ ผู้ตรวจสอบบัญชี ที่ไม่ฟังก์ชัน ไม่ได้ทำหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพ จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะ กลไกของตลาดทุนทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อมั่น เชื่อใจว่าข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยออกมาเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง แต่ทันทีที่นักลงทุนตั้งคำถามกับตัวเลขเหล่านี้ ข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยไม่สามารถเชื่อถือได้ ทำให้นักลงทุนไม่สบายใจ ทำให้ตลาดเกิดการระแวงไม่เชื่อมั่นในข้อมูล
คุณสงวน จุงสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ทีม Investment & Market Research สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตอนนี้กระบวนการสกรีนการรับประกันการจำหน่ายหุ้นกู้ทั้งระบบเกิดปัญหาแล้ว จากความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน ผู้ออกหุ้นกู้ทุกบริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้นหมด เพราะการทำ Due Diligence มีความซับซ้อนมากขึ้น ที่น่ากังวลคือ หุ้นกู้กลุ่มไฮยีลด์ที่ให้ดอกเบี้ยสูง แต่เครดิตเรตติ้งต่ำ ความเสี่ยงสูง ตลาดเริ่มปิด ได้รับผลกระทบเต็มๆ เพราะเห็นสัญญาณการขายหุ้นกู้ไม่หมด
ผมคิดว่า รัฐบาลรักษาการ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีคลัง และ ก.ล.ต. จะต้องเร่งออกมาจัดการกับคดีนี้โดยเร็ว เพื่อหยุดยั้งความเสียหายในตลาดทุนไทยที่กำลังลามเป็นลูกโซ่ ไม่เพียงนักลงทุนต่างชาติที่เทขายหุ้นออกไปทุกวัน แต่ยังทำให้บริษัทจดทะเบียนไม่สามารถระดมทุนใหม่ในตลาดทุนได้ ไม่ว่าจะเป็นการ เพิ่มทุน หรือ ออกหุ้นกู้ เรื่องนี้ไม่ใช่เกมการเมือง แต่เป็นความรับผิดชอบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯโดยตรง.
“ลม เปลี่ยนทิศ”