ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานความเคลื่อนไหวของหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ในเช้าวันนี้ (8 มิ.ย.) ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยเป็นผลมาจากกระแสข่าวยักษ์ใหญ่ด้านรถยนต์อย่าง อีซูซุ มอเตอร์ อาจย้ายฐานการผลิตรถยนต์จากประเทศไทย ไปยัง ประเทศอินโดนีเซีย
ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลดลงรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นราคาหุ้นของบริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) SAT บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ STANLY
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มยานยนต์นั้นได้รับผลกระทบจากข่าว นายอากัส กูมิวัง คาร์ตาซัสมิตา รัฐมนตรีอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย กล่าวว่า บริษัท อีซูซุ มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น มีแผนที่จะโยกย้ายการผลิตรถยนต์จากโรงงานแห่งหนึ่งในประเทศไทยมายังอินโดนีเซีย
โดยจะเริ่มการผลิตอย่างเร็วที่สุดในปีหน้า อย่างไรก็ดีตัวแทนของบริษัทอีซูซุประจำประเทศไทยยังไม่ได้ยืนยันข่าวนี้แต่อย่างใด ปัจจุบันอีซูซุมีโรงงานผลิตรถยนต์ 2 แห่งในประเทศไทย ที่จังหวัดสมุทรปราการและ ฉะเชิงเทรา โดยมีกำลังการผลิตรถยนต์รวมกัน 385,000 คัน/ปี และมีการจ้างงาน พนักงานราว 6,000 คน ส่วนในอินโดนีเซีย อีซูซุมีโรงงานผลิตรถยนต์ 1 แห่งที่ เมืองคาราวัง
ทั้งนี้ ในความเห็นของฝ่ายวิจัย มองว่าเนื่องจากข่าวดังกล่าวยังไม่เป็นทางการจากฝั่งไทย จึงยังต้องติดตามต่อไป อย่างไรก็ตาม หากเป็นจริง การประเมินผลกระทบต้องดูว่าเป็นการย้ายสายการผลิตของรถยนต์รุ่นใดบ้าง (ปิกอัพ หรือรถบรรทุก)
โดยปี 2565 ISUZU มียอดขายรถยนต์ในไทยราว 2.1 แสนคัน (สัดส่วน 25% ของยอดขาย รถยนต์ไทยปี 2565) หลักๆ เป็น ปิกอัพ ประมาณ 1.75 แสนคัน (สัดส่วน 45% ของยอดขายรถปิกอัพไทยปี 2565) ด้วยสัดส่วนแบ่งตลาดที่สูงในไทย ในเชิงของการทำตลาดในประเทศเชื่อว่า ISUZU ยังคงทำตลาดรถยนต์ในประเทศไทย
ด้านโครงสร้างรายได้ของผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไทยปี 2565 พบว่าบริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH มีสัดส่วนรายได้ทางตรงจาก ISUZU ราว 39% ของยอดขายปี 2565 ส่วน บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) SAT มีสัดส่วน รายได้ทางตรงจาก ISUZU ราว 11% ของยอดขายปี 2565 ดังนั้นกรณีที่ข่าว ข้างต้นเกิดขึ้นจริงประเมินกระทบต่อยอดขายปี 2567 ของ AH มากกว่า SAT ราคาหุ้นในกลุ่มฯ มีโอกาสตอบสนองเชิงลบจากข่าวข้างต้น ทั้งนี้ ราคาหุ้น AH ตั้งแต่ต้นปีถึงวานนี้ปรับตัวขึ้น 32% YTD VS SET Index และ SAT ที่ติดลบ 8% และ 4.8% YTD ตามลำดับ ทำให้ราคาหุ้นอาจเผชิญแรงกดดันมากกว่ากลุ่มฯ