บิ๊กซี รีเทล ทุ่มงบ 2 หมื่นล้านบาท ลุยขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ พร้อมปักธงเข้าเทรดปีนี้

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “BRC” เปิดเผยว่า ภายหลังการปรับโครงสร้าง บริษัทฯ จะมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับศักยภาพในทุกๆ ด้าน เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำภาคธุรกิจการค้าปลีกและค้าส่งทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์ร้านค้าปลีกแบบใหม่ ที่มุ่งเป็น Top destination สำหรับการจับจ่ายสินค้า

สำหรับภาพรวมการเติบโตในปีนี้ บริษัทมองว่าธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งจะมีการเติบโตมากกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ซึ่งตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่คาดการณ์ไว้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศจะกลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการค้าปลีกอยู่ที่ 80%

ในปี 2566-2567 บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจด้วยการขยายสาขาใหม่ไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงปรับปรุงสาขาเดิมที่มีอยู่ โดยกำหนดงบลงทุนรวมประมาณปีละ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนในประเทศลาวและกัมพูชาประมาณ 200-300 ล้านบาท เพื่อขยายร้านค้าปีละ 1-2 สาขา

ปัจจุบัน BRC มีเครือข่ายร้านค้าปลีกหลากหลายรูปแบบ (Multi-format) ประกอบด้วย บิ๊กซี ซูเปอร์ เซ็นเตอร์, บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า, บิ๊กซี เพลส, บิ๊กซี มาร์เก็ต, บิ๊กซี ฟู๊ดเพลส, บิ๊กซี ดีโป้, บิ๊กซี มินิ, บิ๊กซี ฟู๊ด เซอร์วิส รวมถึงธุรกิจตลาด Open-Air อย่างตลาดทิพย์นิมิตร ตลอดจนร้านค้าอื่นๆ เช่น ร้านกาแฟวาวี, ร้านหนังสือเอเซียบุ๊คส และร้านขายยาเพรียว อีกทั้งยังมีร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมภายใต้โมเดลร้านค้า “โดนใจ” ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจที่ BRC มุ่งให้การสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย หรือร้านค้าโชห่วย เพื่อยกระดับสู่ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ 

สำหรับแผนการนำ BRC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นั้น บริษัทได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวน (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณา โดยคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในปีนี้ 

อย่างไรก็ตาม ในด้านผลการดำเนินงานของ BRC ในปี 2565 ที่ผ่านมาบริษัทแสดงถึงการฟื้นตัวหลังโควิดที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 113,573 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 2.2% มี EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 11,511 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า 19.2% และในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วมีการเติบโตขึ้นกว่า 9.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งรายได้จากช่องทางการจัดจำหน่ายแบบ Omnichannel ที่เติบโตขึ้นกว่า 60% ตั้งแต่ช่วงโควิด