ไทยออยล์ เชื่อราคาน้ำมันดิบครึ่งปีหลังฟื้น กางงบ 3.54 หมื่นล้านบาท ลุยธุรกิจพลังงานสะอาด

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ไทยออยล์ เชื่อราคาน้ำมันดิบครึ่งปีหลังฟื้น กางงบ 3.54 หมื่นล้านบาท ลุยธุรกิจพลังงานสะอาด

Date Time: 22 พ.ค. 2566 13:45 น.

Video

“The Summer Coffee Company” มากกว่า เครื่องดื่ม คือ ความสุข | Brand Story Exclusive EP.3

Summary

  • - ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวครึ่งปีหลัง และเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น จากอุปทานน้ำมันดิบส่วนเกินมีปริมาณมาก แต่ OPEC ประกาศลดกำลังการผลิต จีนเปิดประเทศหนุน
  • - วางงบปี 2566-2569 กว่า 3.54 หมื่นล้านบาท เน้นโครงการพลังงานสะอาด (CFP) คาด COD ได้ปี 2567 พร้อมลุยขยายความร่วมมือ CAP หนุนการเติบโต
  • - อยู่ระหว่างศึกษาความร่วมมือในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิม ส่วนการลงทุนใหม่ยังต้องรอความชัดเจน

Latest


ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ยังเผชิญกับแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง หลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน กดดันให้ราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ที่ 45 บาทต่อหุ้น ปรับตัวลดลงกว่า 35.71% ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 ที่มีราคาอยู่ราว 70 บาทต่อหุ้น 


ด้านผู้บริหารเชื่อว่าจะเข้าสู่สถานการณ์ปกติได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังมีการเปิดประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะจีน คาดกระตุ้นการใช้น้ำมันได้ พร้อมกางแผนลงทุนปี 2566-2569 กว่า 3.54 หมื่นล้านบาท เน้นโครงการพลังงานสะอาด พร้อมลุยขยายความร่วมมือ PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ในประเทศอินโดนีเซีย หนุนการเติบโตในอนาคต


นางสาวทอแสง ไชยประวัติ ผู้จัดการฝ่ายวางแผนการเงิน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 1/66 ที่ผ่านมา ตลาดน้ำมันยังมีความผันผวนค่อนข้างมาก จากทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเฉพาะประเทศจีนที่มีนโยบายเปิดประเทศ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น รวมถึงมีการเดินทางระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง


ในขณะที่ยังมีปัจจัยลบที่กดดันตลาดน้ำมันและค่าการกลั่น ได้แก่ ความกังวลวิกฤติการเงินธนาคารในสหรัฐฯ ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกอาจชะลอตัว รวมถึงการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อทดแทนก๊าซธรรมชาติลดลงเช่นกัน เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง ส่วนค่าการกลั่นยังคงมีโนวโน้มอยู่ในระดับสูงได้ จากตลาดน้ำมันสำเร็จรูปได้แรงหนุนจากจีนจากการใช้รถยนต์ในประเทศ และความต้องการใช้น้ำมันอากาศยานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั่วโลก


ทั้งนี้ปัจจัยอุปทานน้ำมันดิบที่ยังไม่ตึงตัวมากนัก ทำให้ราคาน้ำมันดิบไตรมาสที่ผ่านมาปรับตัวลดลง จากปริมาณน้ำมันดิบส่งออกจากรัสเซียไม่ได้ปรับตัวลดลงมาก แม้ว่าจะมีการแบนการส่งออกน้ำมันจากรัสเซียในหลายประเทศ อย่างไรก็ดีเชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในโอเปกมีแผนที่จะลดกำลังการผลิตน้ำมันลง


นางสาวทอแสง กล่าวอีกว่า บริษัทวางงบลงทุนสำหรับปี 2566-2569 ทั้งหมดราว 35,445 ล้านบาท (1,028 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยเน้นการลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (CFP) มูลค่าราว 19,170 ล้านบาท (556 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่ง ณ สิ้นเดือนเมษายนมีการดำเนินการไปแล้ว 91.6% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปีนี้ และพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2567


ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในธุรกิจโอเลฟินส์ราว 9,307 ล้านบาท (270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และการลงทุนต่อเนื่องในโครงการต่างๆ รวมราว 8,824 พันล้านบาท (256 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)


สำหรับความคืบหน้าการลงทุนใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ในประเทศอินโดนีเซีย บริษัทมีการสร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง ทางด้านการผลิตและการขาย นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฮโดรเจน จากปัจจุบันบริษัทใช้ไฮโดรเจนเป็นวัตถุดิบตั้งต้น (feedstock) ซึ่งการผลิตกรีนไฮโดรเจนจะส่งผลให้บริษัทมีค่าการปล่อยคาร์บอนลดลง ส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture) ปัจจุบันศึกษาร่วมกับกลุ่ม ปตท. ซึ่งยังต้องใช้ระยะเวลาศึกษาพอสมควรจึงจะเห็นความชัดเจน


อย่างไรก็ดี สำหรับธุรกิจใหม่อื่นๆ ที่บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษา จะดูจากความเหมาะสมว่าโครงการไหนสามารถที่จะเชื่อมต่อธุรกิจปัจจุบันของบริษัทได้ ซึ่งปัจจุบันยังมองเป็นแค่ลักษณะความร่วมมือทางธุรกิจ มากกว่าการลงทุนใหม่ๆ


นอกจากนี้ บริษัทยังมีการศึกษาการขยายธุรกิจในประเทศเป้าหมายเพิ่มเติม ได้แก่ เวียดนาม, อินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีการเติบโตสูง เพื่อเป็นการขยายตลาดและขยายฐานลูกค้าของบริษัท


ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ระบุในวิเคราะห์ว่า โครงการพลังงานสะอาด (CFP) และ CAP จะหนุนมูลค่าในระยะยาว โดยมองว่าการลงทุนอย่างต่อเนื่องของ TOP ใน CFP คืบหน้าไปแล้ว 91.6% ณ สิ้นเดือน เม.ย.2566 คาดว่าจะเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในปี 2568 คาดว่าจะเห็นความยืดหยุ่นมากขึ้นในการใช้วัตถุดิบและการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ซึ่งน่าจะหนุนให้ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น 4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลโดยเฉลี่ย นอกจากนี้หลังจากเข้าซื้อหุ้น 15% ใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ผู้ผลิตปิโตรเคมีครบวงจรที่ใหญ่ที่สุด และมีอำนาจในการคลุมตลาดของอินโดนีเซียในเดือน ก.ย.2564 กำลังสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพ, การควบคุมต้นทุน, และความร่วมมือด้านการขายและการตลาด ทางผู้บริหารยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนในผลิตภัณฑ์ หรือธุรกิจที่มีมูลค่าสูงเพื่อหนุนการเติบโตของกำไรในระยะยาว


และคาดอัตราการเติบโตสะสมเฉลี่ยของกำไรหลักปี 2566-68 ที่ 62.1% หนุนจากค่าการกลั่นรวมที่ขยายตัว, การรับรู้กำไรจาก CAP, และการเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ของโครงการ CFP เราคาด CFP จะหนุนกำไรหลักของ TOP ให้เติบโต YoY เป็นเท่าตัวในปี 2568 รวมทั้งมีอัปไซด์ต่อประมาณการกำไรจากการลงทุนใหม่ๆ และ/หรือการสร้าง synergy เพิ่มเติม โดยให้คำแนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 78.00 บาท.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์