เรียกได้ว่ากระแสแรงมากๆ สำหรับผู้บริหารหนุ่มไฟแรงอย่าง “พี่พีททท” หรือ นายกันตพร หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ซึ่งวันนี้ #ThairathMoney จะพามาส่องอนาคต ธุรกิจ และผลประกอบการกันว่าจะน่าสนใจมากแค่ไหน
บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจในรูปแบบกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 15 แห่ง และโพลีคลินิก 1 แห่ง ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัดและในสปป.ลาว เพื่อให้บริการทางการแพทย์ในระดับปฐมภูมิ-ตติยภูมิ ภายใต้ 4 กลุ่มโรงพยาบาล คือ 1. กลุ่มโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล 2. กลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล 3. กลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ และ 4. กลุ่มโรงพยาบาลการุญเวช เพื่อให้บริการครอบคลุมผู้ป่วยทุกกลุ่มตั้งแต่ผู้ป่วยทั่วไป ชาวต่างชาติ และผู้ป่วยในโครงการประกันสังคม
ผลประกอบการของบริษัทที่ผ่านมาปี 2563 มีรายได้รวม 9,021.36 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,229.40 ล้านบาท และปี 2564 รายได้รวมเติบโตมาอยู่ที่ 21,533.42 ล้านบาท กำไรสุทธิขึ้นมาที่ 6,846.00 ล้านบาท ล่าสุดปี 2565 รายได้รวมลดลงมาอยู่ที่ 18,918.47 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,038.91 ล้านบาท โดยคำอธิบายและวิเคราะห์ผลการดำเนินงานปีล่าสุดของฝ่ายจัดการ ระบุว่า สาเหตุที่รายได้ลดลงมา จากรายได้จากการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด-19 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สอดรับกับการฟื้นตัวของสถานการณ์การแพร่ระบาด
ส่วนกำไรสุทธิที่ลดลงในปี 2565 นั้น เป็นผลมาจากการปรับลดอัตราการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากภาครัฐ ที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 จากการจ่ายตามจริง เป็นแบบกำหนดราคาพื้นฐาน การปรับแนวทางการรักษาพยาบาลและการยกเลิกมาตรการในการตรวจและควบคุมโรคโควิด-19 รวมถึงการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนทางเลือกโมเดอร์นา อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเฉพาะรายได้ผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่รวมรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคโควิด-19 จากโครงการภาครัฐ บริษัทจะมีรายได้ผู้ป่วยทั่วไปเพิ่มข้ึน 25.4% จากการกลับเข้ามารับการรักษาพยาบาลภาคปกติเพิ่มสูงข้ึนท้ังชาวไทยและชาวต่างชาติ
นอกจากนี้ จากข้อมูลของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) พบว่ามีบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 17 ราย ให้ความเห็นต่อหุ้นของ BCH โดยมี 13 รายให้คำแนะนำ “ซื้อ” ส่วนอีก 4 รายให้คำแนะนำ “ถือ” ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 23.45 บาทต่อหุ้น สูงสุด 26.00 บาทต่อหุ้น ต่ำสุด 20.00 บาทต่อหุ้น
นายภูวดล ภูสอดเงิน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง กล่าวว่า ปัจจุบันน่าจะเป็นรอบของการกลับมาซื้อ-ขายหุ้นอีกครั้งในเชิง Sentimental เพราะว่าในแง่ของกำไรไตรมาสที่ 1/66 ตลาดน่าจะพอรับรู้อยู่แล้วว่าจะออกมาไม่ดีมาก แต่จะเห็นการฟื้นตัวในไตรมาสต่อไปจากนี้ได้ จะทำให้นักลงทุนมองข้ามผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/66 ไปได้
อย่างไรก็ดี มองว่านักลงทุนเริ่มเข้ามาเก็งกำไร จากเรื่องการปรับขึ้นค่าบริการเหมาจ่ายต่อหัวประกันสังคม จะทำให้ BCH ได้รับประโยชน์มากที่สุด จากมีจำนวนผู้ประกันตนมากที่สุดในโรงพยาบาลเอกชน โดยประเด็นนี้จะทำให้กำไรของบริษัทกลับมาอีกรอบ ประกอบกับมีประเด็นบวกจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กลับมาอีกระลอกในไตรมาสที่ 2/66 ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยเข้ารักษาในช่วงที่ผ่านมาเยอะขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสที่ 1/66
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ไตรมาสที่ 2 มองเป็น Sentiment บวกต่อ BCH ทำให้โดยภาพรวมเหมือนจะเป็นภาพ Bottom Out ไปในไตรมาส 1 แล้ว แล้วจะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 เป็นไฮซีซั่นของกลุ่มโรงพยาบาล ก็น่าจะมีความต่อเนื่องของตัวกำไรด้วย” นายภูวดล กล่าว
สำหรับกำไรสุทธิปี 2566 คาดว่าจะทำได้ที่ 1,818 ล้านบาท ลดลงราว 40% หากเทียบกับปีก่อนที่ 3,038.91 ล้านบาท จากฐานที่สูงเนื่องจากโควิด-19 แพร่ระบาดมาจนถึงช่วงต้นปี แต่มองว่าตลาดน่าจะรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปแล้ว โดยสะท้อนจากราคาหุ้นในช่วงก่อนหน้านี้ที่ปรับตัวลดลง และเริ่มเห็นฐานของราคามากขึ้น
อย่างไรก็ดี ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 25.00 บาทต่อหุ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นทยอยปรับตัวขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ยังมี upside จากตัวราคาเป้าหมายอยู่ มองว่าด้วยภาพรวมการฟื้นตัวในปีนี้ และโมเมนตัมของผลตอบแทนที่ดี ประกอบกับประเด็นบวกจากประกันสังคม น่าจะเป็นรอบของกลับมาซื้อขายหุ้นของ BCH อีกครั้งหนึ่ง
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า กําไรมีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการตั้งสํารองที่เกี่ยวข้องกับการลดอัตราการเบิกจ่ายค่ารักษาโรคโควิด-19 ของภาครัฐ แม้ว่าอาจมีการปรับเพิ่มค่าเหมาจ่ายรายหัวประกันสังคม โดยยังคงมุมมองที่ว่า BCH ขาดปัจจัยบวกเรื่องผลประกอบการ จากฐานที่สูงมากเป็นพิเศษจากบริการโควิด-19 และยังคงคําแนะนํา tactical call ระยะ 3 เดือนสําหรับ BCH ไว้ที่ NEUTRAL ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ราคา 24 บาทต่อหุ้น ปัจจัยกระตุ้นคือกําไรที่กลับสู่ทิศทางขาขึ้นซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ขณะเดียวกัน มองว่าบริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิด-19 จะช่วยหนุนรายได้ในปี 2566 หากไม่รวมบริการโควิด-19 บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 17% จากปีก่อน โดยได้แรงหนุนจากการเปิดศูนย์การแพทย์เฉพาะทางมากขึ้น การยกระดับสิ่งอํานวยความสะดวกที่มีอยู่เดิม การร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สํานักงานประกันสังคม (สปส.) และบริษัทเอกชนให้บริการตรวจสุขภาพที่คาดสร้างรายได้ 160 ล้านบาท และจํานวนผู้ป่วยต่างชาติที่มีสัดส่วน 13% ของรายได้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภูมิภาคตะวันออกกลาง
สำหรับจุดเด่นของ BCH มองว่าเป็นหนึ่งในผู้นําด้านการให้บริการรักษาสุขภาพ และเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดแก่ผู้ประกันตนในโครงการประกันสังคมของประเทศไทย โดยมีผู้ประกันตนลงทะเบียนใช้บริการกว่า 1 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนราว 7% ของจํานวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมทั้งหมด (ภายใต้มาตรา 33 และมาตรา 39) ในประเทศไทย ประกอบกับดําเนินกิจการโรงพยาบาลทั้งหมด 15 แห่ง ด้วยจํานวนเตียงจดทะเบียนทั้งหมด 2,245 เตียงเพื่อรองรับกลุ่มคนไข้ทุกระดับภายใต้ 4 แบรนด์โรงพยาบาล ซึ่งการให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับโควิด-19 ในวงกว้าง จะสร้างการจดจําแบรนด์ซึ่งจะเปิดโอกาสให้บริษัทขยายฐานผู้ป่วยในอนาคต