คาดกำไรคาราบาวแดง หรือ CBG ไตรมาสแรกอาจต่ำสุดในรอบ 4 ปี เหตุต้นทุนและค่าไฟแพงเข้ากดดัน

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

คาดกำไรคาราบาวแดง หรือ CBG ไตรมาสแรกอาจต่ำสุดในรอบ 4 ปี เหตุต้นทุนและค่าไฟแพงเข้ากดดัน

Date Time: 25 เม.ย. 2566 10:32 น.

Video

คนไทยจ่ายภาษีน้อย มนุษย์เงินเดือนรับจบ ปัญหาอยู่ที่ระบบหรือคนกันแน่ ? | Money Issue

Latest


ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น CBG หรือ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยราคามาอยู่ที่ 74.00 บาท ลดลงจากช่วงต้นปีถึง -23.51% โดยแรงกดดันที่สำคัญมาจากต้นทุนในการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งราคาน้ำตาลที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับปัญหาราคาค่าไฟฟ้าแพง รวมถึงแรงกดดันเพิ่มเติมจากการคงราคาขายที่ 10 บาทต่อขวด กดดันให้กำไรของบริษัทในไตรมาสที่ 1 อาจอ่อนแอที่สุดในรอบ 17 ไตรมาส หรือมากกว่า 4 ปี


นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ ประเมินว่า ผลการดำเนินงานของ CBG จะรายงานกําไรสุทธิอ่อนแอที่สุดในรอบ 17 ไตรมาส ที่ 365 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 44.7% และลดลงจากไตรมาสก่อน 10.4% เพราะได้รับแรงกดดันจากรายได้ที่อ่อนตัวลงและอัตรากําไรขั้นต้นที่ทําจุดตํ่าสุดใหม่ อันเป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เราปรับประมาณการกําไรปี 2566 ลดลง 24% และปี 2567 ลดลง 23% โดยคาดว่ากําไรครึ่งปีแรก จะยังคงอ่อนแอ


เรายังคงคําแนะนํา Tactical call สําหรับ CBG ไว้ที่ NEUTRAL ด้วยราคาเป้าหมายที่ปรับลดลงสู่ 80 บาท/หุ้น คาดกําไรสุทธิไตรมาสที่ 1 ที่ 365 ล้านบาท ลดลง 44.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 10.4% จากไตรมาสก่อน เราคาดการณ์รายได้ไตรมาสที่ 1 ที่ 66 ที่ 4.25 พันล้านบาท ลดลง 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 5.2% จากไตรมาสก่อน


โดยเกิดจากรายได้จากการขายและปริมาณการขายที่ลดลง ทั้งจาก 1) รายได้จากการขายเครื่องดื่มบํารุงกําลังภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเอง 2) รายได้ต่างประเทศ และ 3) รายได้จากการรับจ้างจัดจําหน่ายให้แก่บุคคลภายนอก ทั้งนี้
แม้ว่า CBG ยังคงราคาขายเครื่องดื่มบํารุงกําลังเรือธง คาราบาวแดง ของบริษัทไว้ที่ขวดละ 10 บาท เพื่อเพิ่มปริมาณการขายและส่วนแบ่งการตลาด แต่ยังไม่เห็นผลในไตรมาสที่ 1 อัตรากําไรขั้นต้นคาดว่าจะทําจุดตํ่าสุดใหม่ที่ 26% โดยมีสาเหตุมาจากต้นทุนนํ้าตาลที่สูงขึ้น (ทั้งในประเทศและส่งออก) โดยปรับขึ้นอย่างน้อย 10% รวมถึงต้นทุนก๊าซธรรมชาติและค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น


กําไรไตรมาสที่ 1 มีแนวโน้มที่จะออกมาตํ่าสุดในรอบ 17 ไตรมาส และตํ่ากว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งใช้สมมติฐานว่าอัตรากําไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ปรับประมาณการกําไรปี 2566 และปี 2567 ลดลง ตลาดเครื่องดื่มบํารุงกําลังที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด และตลาดส่งออกที่ซบเซา โดยเฉพาะตลาด CLMV ทําให้เราปรับประมาณการรายได้รวมในปี 2566 ลดลง 6% และปี 2567 ลดลง 12%


นอกจากนี้ เรายังปรับประมาณการอัตรากําไรขั้นต้นปี 2566 ลดลงจาก 32% สู่ 29% เพราะได้รับแรงกดดันจากต้นทุนนํ้าตาล ก๊าซธรรมชาติ และค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนอะลูมิเนียมจะไม่สูงเท่าปี 2565 ดังนั้น เราจึงปรับประมาณการกําไรสุทธิปี 2566 ลดลง 24% สู่ 2.34 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% และปี 2567 ลดลง 23% สู่ 2.68 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14%) สําหรับไตรมาสที่ 2 เราคาดว่าจะเห็นรายได้จากการขายและปริมาณการขายปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยฤดูกาลและแคมเปญ การตลาดที่เข้มข้น อย่างไรก็ตาม ต้นทุนและค่าใช้จ่าย SG&A ระดับสูง จะยังคงส่งผลกระทบเชิงลบ รายได้ต่างประเทศน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากการเปิดโรงงานแห่งใหม่ในเมียนมา ปัจจัยเสี่ยงและความกังวล เรามองว่านโยบายด้านราคาสําหรับเครื่องดื่มบํารุงกําลังของ CBG จะส่งผลกระทบเชิงลบ


เนื่องจากผู้เล่นอีกสองรายปรับราคาขายขึ้นมาเป็นขวดละ 12 บาทแล้ว และนําเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากกว่า การเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดด้วยการเพิ่มปริมาณการ ท่ามกลางการแข่งขันสูง จะทําให้มีค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น ผลกระทบด้านลบทั้งหมดต่อ P&L จะเกิดขึ้นในระยะสั้น-กลาง นอกจากนี้ เรายังต้องจับตาดูเศรษฐกิจและนโยบายของกลุ่มประเทศ CLMV ด้วย ต้นทุนวัตถุดิบหลักยังคงผันผวน Tactical call NEUTRAL ด้วยราคาเป้าหมาย 80 บาท/หุ้น เรายังคงคําแนะนํา Tactical call สําหรับ CBG ไว้ที่ NEUTRAL ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 80 บาท/หุ้น (ลดลงจาก 101 บาท/หุ้น) อ้างอิง PE เฉลี่ยที่ 34 เท่า แม้ราคาหุ้นสะท้อนกําไรที่คาดว่าจะอ่อนแอในไตรมาสที่ 1 และในครึ่งปีแรกไปเรียบร้อยแล้ว แต่เราแนะนําให้ wait and see สัญญาณฟื้นตัว เช่น ส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น และแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบหลักๆ ที่ลดน้อยลง

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส คาดกำไรงวดกำไรไตรมาสที่ 1 ที่ 392 ล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน และลดลง 41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจะนับเป็นกำไรที่ลดลง 3 ไตรมาสติดต่อกัน โดยกำไรที่ชะลอมาจากรายได้ที่ต่ำลง โดยเฉพาะตลาด CLMV ส่วนกำไรที่คาดจะลดลงแรง เป็นเพราะรายได้ชะลอตัว ขณะที่อัตรามาร์จิ้นตกต่ำลง ตามราคาวัตถุดิบและค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น


หากกำไรงวดไตรมาสที่ 1 เป็นไปอย่างคาด จะมีสัดส่วนเพียง 15% ของคาดการณ์ทั้งปี ทำให้เราต้องปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2566-2567 ของ CBG ลงจากเดิม 18% และ 15% ตามลำดับ ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ลดจาก 111 บาท เหลือ 91 บาท แม้เราเชื่อว่ากำไรจะได้ผลบวกจากฤดูกาลใน 2Q66 แต่ระยะสั้นจะถูกกดดันจากกำไรงวดไตรมาสที่ 1 ที่คาดจะยังออกมาอ่อนแอ เราจึงแนะนำเพียง Neutral สำหรับ CBG


ทั้งนี้ กำไรที่ลดลงคาดมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายที่คาดจะลดเหลือ 4.37 พันล้านบาท จาก 1) การชะลอตัวของยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเอง (คาราบาวแดง) เพราะคาดยอดขายในประเทศจะค่อนข้างทรงตัว เพราะยังไม่ได้มีการทำการตลาดมากนักในช่วงต้นปี ขณะที่การขายต่างประเทศที่ชะลอลง โดยเฉพาะจากกัมพูชา 2) คาดรายได้จากการจำหน่ายสินค้าให้ผู้อื่น (เหล้า, โซจู) ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่เป็นช่วงฉลองส่งท้ายปี ดังนั้น แม้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะขยับสูงขึ้นได้เป็น 26.8% จากเดิม 26.5% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 แต่ยังไม่มากพอจะชดเชยรายได้ที่ลดลงได้ โดยกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว มีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนที่ลดลง เพราะยังมีสต๊อกราคาต่ำของอะลูมิเนียม (วัตถุดิบในการผลิตกระป๋อง) จึงช่วยชดเชยราคาวัตถุดิบอื่นที่ปรับขึ้นมา เช่น ราคาน้ำตาลในประเทศ หน้าโรงงาน (น้ำตาลโควตา ก) ที่เพิ่งปรับขึ้น 10% จาก 17.25 บาท/กก. เป็น 19.00 บาท/กก. ในช่วงปลาย ม.ค. 66 ได้

แต่หากเทียบจากปีก่อน คาดกำไรลดลงแรง เพราะ 1) ยอดขายลดลง โดยปัจจัยหลักมาจากการขายสินค้าคาราบาวแดงในต่างประเทศ ที่คาดลดลงเหลือ 1.4 พันล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของยอดขายใน CLMV ตลาดกัมพูชา ขณะที่การขายในประเทศคาดยังโตได้เล็กน้อยเป็น 1.3 พันล้านบาท และ 2) อัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงจาก 30.7% ในงวดไตรมาสที่ 1 เหลือ 26.8% จากการปรับขึ้นราคาของวัตถุดิบหลักอย่างน้ำตาล (ทั้งน้ำตาลโควตา ก และ น้ำตาลโควตา ค) รวมทั้งค่าสาธารณูปโภคที่ปรับขึ้นตามราคาค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์