BTS เปิดแผนธุรกิจ ปี 66/67 ชี้สถานีจะเพิ่มขึ้นสองเท่าตัว วางงบลงทุนเกือบหมื่นล้านดันการเติบโตเพิ่ม

หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย เศรษฐกิจของประเทศไทยก็เห็นภาพของการฟื้นตัวที่ดี โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว คนเริ่มออกจากบ้านและใช้ขนส่งสาธารณะกันมากขึ้น ส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มขนส่งมวลชน ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ชี้การเปิดเมืองของไทย ทำให้ผลประกอบการของ BTS และบริษัทในกลุ่มหลักๆ มีภาพการฟื้นตัวที่ดี

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายและแนวโน้มธุรกิจ ประจำปี 2566/67 บนเว็บไซต์ของบริษัทฯ เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ โดยปีนี้วางงบลงทุนรวมกว่า 9.45 พันล้านบาท ตามแผนการสร้างองค์กรให้เป็น Borderless Transform Solution จากกลยุทธ์ธุรกิจ MOVE, MIX และ MATCH

ธุรกิจ MOVE ที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งมวลชน บริษัทวางงบลงทุนปีนี้อยู่ที่ 3.1 พันล้านบาท และคาดว่าจะมีรายได้จากการเดินรถและค่าบำรุงรักษา (O&M) อยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท ตั้งเป้าจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดสำหรับรถไฟฟ้าสายสีเขียวปีนี้ไว้ที่ระดับ 240-250 ล้านเที่ยว โดยประเมินจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยในวันธรรมดาอยู่ที่ 7-7.5 แสนราย และมีราคาตั๋วเฉลี่ย 34-35 บาทต่อเที่ยว ขณะที่รายได้จากดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งมวลชนคาดว่าจะอยู่ที่ 5.2 พันล้านบาท

ขณะเดียวกันบริษัทคาดว่าการให้บริการรถไฟฟ้าจะเพิ่มเป็นสองเท่าภายในปี 2566 โดยอยู่ระหว่างการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี และสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง ซึ่งจะทำให้บริษัทมีสถานีให้บริการรวม 140 สถานี จากเดิม 72 สถานี และคาดว่าจะมีรายได้จากการก่อสร้างสายสีชมพูและสีเหลืองอยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท

สำหรับแผนธุรกิจ MIX บริษัทมีแผนพัฒนาการให้บริการการตลาดแบบ O2O (Offline-to-Online) จากการใช้ประโยชน์จากข้อมูลต่างๆ สำหรับการสร้างรายได้และทำแคมเปญการตลาด เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ทางธุรกิจของแบรนด์ลูกค้า รวมถึงใช้ประโยชน์จาก MIX Data Center เพื่อสร้างโซลูชันแบบ win-win สำหรับลูกค้าและธุรกิจ ผ่านบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI โดยคาดว่าจะสามารถทำรายได้ที่ราว 6-6.5 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี (NPAT) มากกว่า 10% และวางงบลงทุนไว้ราว 1.15 พันล้านบาท

ส่วนธุรกิจ MATCH บริษัทวางงบลงทุนไว้ 5.2 พันล้านบาท สำหรับโอกาสในการร่วมมือกับพันธมิตรใหม่และขยายเครือข่ายที่กว้างขวางมากขึ้น เพื่อให้มีพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายของกลุ่มธุรกิจเพื่อสร้างคุณค่าร่วมกัน จากปัจจุบันบริษัทถือหุ้นในบริษัทต่างๆ มากมาย เช่น บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน), บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน)

ด้านนักวิเคราะห์ฯ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 10.00 บาทต่อหุ้น คาดว่าเรื่องการกล่าวหาของป.ป.ช.ยังไม่กระทบปัจจัยพื้นฐาน ต้องใช้เวลาอีกนานที่จะพิสูจน์จนกว่าจะเสร็จ และยังไม่ได้นำโครงการบริหารเดินรถในอนาคต มารวมไว้ในราคาพื้นฐานในเชิงการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) เป็น Sentiment ด้านลบที่เข้ามาในระยะสั้น

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ประเด็นการได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองของไทยเต็มที่ หลังโรคโควิด-19 คลี่คลาย ผลประกอบการของ BTS และบริษัทในกลุ่มหลักๆ เช่น BTSGIF, VGI, RABBIT มีภาพการฟื้นตัวที่ดี กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 10.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี SOP และจ่ายปันผลในเกณฑ์น่าพอใจที่อัตราผลตอบแทนต่อปีที่ 4.4% ด้านความเสี่ยงคือ เศรษฐกิจไทยฟื้นช้ากว่าคาด, แพ้คดีทางกฎหมาย, ไม่ได้รับชำระหนี้ และกลับมาเกิดโรคระบาด