เปิดใจ BBGI กับมรสุมราคาหุ้นหลังเข้าเทรดครบ 1 ปี ไบโอเทคโนโลยีจะเป็นตัวเปลี่ยนเกม

Investment

Stocks

Tag

เปิดใจ BBGI กับมรสุมราคาหุ้นหลังเข้าเทรดครบ 1 ปี ไบโอเทคโนโลยีจะเป็นตัวเปลี่ยนเกม

Date Time: 2 เม.ย. 2566 09:29 น.

Video

3 มาตรการใหม่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คุมหุ้นร้อนผิดปกติ | Money Issue

Latest


เป็นหนึ่งปีที่ยากลำบากสำหรับ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 17 มี.ค. 2565 ที่ราคาไอพีโอ 10.50 บาท ด้วยเป้าหมายของการเปลี่ยนธุรกิจจากยักษ์ใหญ่ในการผลิตธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ ทั้ง เอทานอล และ ไบโอดีเซล แต่หลังเข้าจดทะเบียนเจอความท้าทายจากภาวะสงครามยูเครนกับรัสเซีย ที่กระทบแผนการลงทุนและขยายธุรกิจของบริษัท จนทำให้ราคาร่วงลงไปจุดต่ำสุดที่ 5.55 บาท ในวันที่ 16 มี.ค 2566 หรือลดลงกว่า 47.14% โดย BBGI มองว่า ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ท้าทายมาก จากปัจจัยความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์ของโลก ส่งผลกระทบให้ดีลต่างๆ ล่าช้าออกไป

นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเติบโตของ BBGI ในช่วงที่ผ่านมายอมรับว่ามีความล่าช้ากว่าแผนที่วางไว้ ปัจจัยสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้พันธมิตรทางธุรกิจที่เคยพูดคุยกับไว้ มีการชะลอการลงทุนออกไป

“1 ปีที่ผ่านมาแผนต่างๆ ค่อนข้างล่าช้า ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นความโชคร้ายของเรา โดยหลังจากที่เข้าไอพีโอ เกิดสงครามยูเครนกับรัสเซีย ทำให้การตัดสินใจของพันธมิตรต่างๆ ต้องรอความชัดเจน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของบริษัทให้ไม่เป็นไปตามแผน”

วางเป้าหมายเพิ่มรายได้ธุรกิจใหม่

แผนการเติบโตของบริษัทนั้น เป้าหมายภายใน 5 ปีข้างหน้า เป้าเราอยากมี EBITDA ใน 5 ปี ถึง 2023-2028 อย่างน้อย 50% เป็นธุรกิจใหม่ สิ่งที่ BBGI เดินหน้าคือ การเกาะธุรกิจไปกับเมกะเทรนด์โลกกำลังเข้าไปสู่ตัวของเฮลท์แอนด์เวลบีอิ้ง และไบโอเทคโนโลยี


เราเชื่อว่าสิ่งที่ทำอยู่จะตอบโจทย์ของโลกในอนาคต มีโอกาสจะอยู่ในบางกลุ่ม เช่นกลุ่มยาและเวชภัณฑ์ ที่ในอนาคตโลกมีความต้องการมากขึ้น ประชากรมากขึ้น แต่อาหารจะน้อยลง จากข้อจำกัดพื้นที่ปลูกน้อยลงปัญหาเรื่องน้ำและสิ่งแวดล้อม ต้องหาอาหารให้กับคนเพียงพออย่างไร จึงมีไบโอเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหา


ความเชี่ยวชาญของ BBGI เราอยู่ในธุรกิจด้านเอทานอลมา 20 ปี ซึ่งต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยีซึ่งได้ โดยการเติบโจของเราจะทำกับพาร์ตเนอร์กับผู้ที่มีศักยภาพ เพราะเรามองว่าประเทศไทยต้องการความรู้ด้านนี้ซึ่งเรายังไม่มี เราต้องอาศัยพาร์ตเนอร์ที่มีองค์ความรู้และเราทำหน้าที่ขยายกำลังการผลิต


ที่ผ่านมาหลังจากเข้าไอพีโอ เราได้ร่วมลงทุนกับ Manus พันธมิตรต่างประเทศ ซึ่งเราลงทุนเป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ และได้ตั้งบริษัทร่วมกัน โดย BBGI จะทำหน้าที่ ในการทำมาร์เก็ตติ้ง ตั้งตัวแทนจำหน่ายไป 5-6 ประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา เจอ Covid-19 ก็มีการชะลอไปบ้าง ตอนนี้มีการเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งช้ากว่าที่คาดหวัง แต่เริ่มสัญญาณที่ดีและเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น

คาดดีลพันมิตรใหม่จบไตรมาส 2


นอกจากนี้ BBGI ยังคุยพาร์ตเนอร์อยู่ 3 ราย โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุป 1 ราย คาดว่าจะมีจบในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยจะเป็นลักษณะการร่วมลงทุนตั้งโรงงานในประเทศไทย เราจะอยู่ในด้านการผลิต วิธีการจัดการการตลาด พันธมิตรจะเสริมสร้างองค์ความรู้และประโยชน์ในการที่ได้เป็นซัพพลายในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้หากดีลจบระยะเวลาการสร้างโรงงานนั้นอาจกินเวลาถึง 1 ปีครึ่ง แต่เราจะไม่รอให้โรงงานเสร็จ จะเริ่มทำการตลาดให้ประชาชนรู้จักก่อน ทั้งในด้านออนไลน์และออฟไลน์

เอทานอล - ไบโอดีเซล ฟื้น


สำหรับทิศทางของรายได้และกำไรยังมาจากธุรกิจเดิมเป็นหลัก คือ เอทานอล และไบโอดีเซล โดยภาพอุตสาหกรรมทั้งไบโอดีเซล และ เอทานอลที่ธุรกิจเดิมเป็นซีซั่นนอลพอสมควร ซึ่งในอุตสาหกรรมของเราในช่วงที่ผ่านมามีปัญหาเยอะมากและขาดทุนเยอะมาก จากปัญหาต้นทุนที่สูง แต่ทิศทางในปี 2566 คาดว่าจะดีขึ้น จากนโยบายของภาครัฐที่คาดว่าจะมีการปรับสัดส่วนการใช้น้ำมันไบโอดีเซลที่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ผสมเป็น B7 เชื่อว่าหลังเลือกตั้งอาจจะมีการเพิ่มการผสมเป็น B10 ได้ จากราคาสินค้าเกษตรที่ลดลง

โดยในธุรกิจดั่งเดิมนั้น BBGI ไม่ลิมิตตัวเองให้อยู่แค่ไบโฮดีเซล กับเอทานอล ซึ่งสิ่งที่มีอยู่ต้องทำให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาในกลุ่มบางจาก ประกาศทำไบโอเจ็ต โดยนำน้ำมันพืชใช้แล้วมาใช้เป็นบี 100 วันนี้เราประกาศว่าเราลงทุน โดยจะใช้โรงงานบางจาก โดยรวมน้ำมันพืชใช้แล้วมาผลิต ซึ่งบางจากสามารถทำการผลิตได้ดีกว่า และในอนาคตอาจพิจารณาเดินหน้า เปลี่ยนจากเอทานอลเป็นไบโอเจ็ต ซึ่งเราได้เปรียบจากเอทานอลที่มีจำนวนมาก สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบเป็นไบโอเจ็ตได้ ซึ่งเรากำลังดูเรื่องนี้อยู่ ว่าจะต่อยอดได้ไหม


บางจาก ซื้อเอสโซ่ ส่งผลบวก

ส่วนการเข้าซื้อ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP นั้น การเข้าทำรายการดังกล่าว จะสร้างภาพบวกกับธุรกิจของบริษัทแม่ ที่สร้างความร่วมมือกันได้มากขึ้นในอนาคต โดยปัจจุบันน้ำมันเอทานอล และ ไบโอดีเซลที่ BCP ใช้อยู่มีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ของ BBGI ในอนาคตหากดีลนี้จบเราก็ได้ประโยชน์ ทั้งโอกาสการส่งไบโอดีเซล และเอทานอล ให้กับกลุ่ม BCP ที่มีปริมาณมากขึ้น ถือเป็น อัปไซด์ให้กับบริษัท ต้องมาดูว่าในอนาคตได้

อยากให้นักลงทุนมองระยะยาว

อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากบอกกับนักลงทุน ว่า สิ่งที่ BBGI ทำอยู่นั้น คือ การสร้างเทรนด์การเติบโตหลังจากนี้ต้องมากขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับโปรเจกต์ที่เข้ามา เรากำลังทำอยู่ อยากให้มองเรา 3-5 ปี มองการลงทุนในระยะยาว ที่ผ่าน

โจทย์วันนี้เรามีธุรกิจที่เป็น NEW S-CURVE และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ของประเทศ เป็นสิ่งที่รัฐบาลประกาศสนับสนุน เราเลยหาพาร์ตเนอร์ ให้การเติบโตเราเร็วขึ้น สิ่งที่อยากบอกผู้ถือหุ้น บริษัทมั่นคง เราต้องการเป็นไบโอเทคโนโลยี ที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นสิ่งที่เราต้องสร้าง

นอกจากนี้ เรามองโอกาสการลงทุน ในด้านเฮลธ์แอนด์เวลบีอิ้ง หากมีโอกาสเข้ามาเราก็สนใจ ถ้ามีดีลก็พร้อมลงทุน เรามีความเข้มแข็งทางการเงินอยู่แล้ว

“คำนิยามใน 1 ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าเหนื่อย ภาวะที่เกิดขึ้นคือ ตลาดหุ้นลงไปหมด เรายังไม่สามารถทำตามความหวังที่ อยากทำให้ได้เร็วกว่านี้ โดย BBGI เดินในสายไบโอเทค เราเดินบนเส้นทางที่ยากและไกล เราลงทุนระยะยาว”

โดยคณะกรรมการก็ไม่ต้องการอะไรระยะสั้น ความยากของเราคือจะทำอย่างไรให้เกิดรูปธรรมและตลาดเข้าใจ ซึ่งในอุตสาหกรรมเข้าใจว่าเราคือผู้นำในธุรกิจนี้ มันดีกับประเทศกับภูมิภาคถ้าเกิดขึ้นได้