บลูบิค แจงเหตุ 3 หุ้นใหญ่โยน Biglot 2.1 ล้านหุ้น เพื่อปรับโครงสร้างบริษัท รองรับการไดลูชั่น รับประโยชน์ทางภาษี 10% จากเงินปันผล รับใกล้ช่วงประกาศงบ ด้าน บล.โนโมระ มองไตรมาส 4 กำไรทำสถิติใหม่
บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายการขายหุ้นบิ๊กลอตของ 3 ผู้บริหาร 2,153,000 หุ้น มูลค่าเกือบ 300 ล้านบาท วันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นการปรับโครงสร้างการถือหุ้นให้กับ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี 10% รองรับหุ้นไดลูชั่น หลังแผนเพิ่มทุน แย้มข่าวดีคาดแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้
ทั้งนี้ การทำ Big Lot จำนวน 2,153,000 หุ้น ในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 139 บาท หรือคิดเป็น 2.15% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เป็นการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ด้วยการโอนหุ้นระหว่างกัน แต่ยังคงสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ 52.56% เช่นเดิม โดย 3 ผู้บริหาร ได้แก่ นายพชร อารยะการกุล ประธานกรรมการบริหาร นายปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ กรรมการผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 และกรรมการบริษัท และนายพิพัฒน์ ประภาพรรณพงศ์ กรรมการบริษัท ได้โอนหุ้นบริษัท ให้แก่บริษัท บลูบิค กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด
ซึ่งหลังทำรายการ Big Lot ที่ผ่านมา ส่งผลให้การถือครองหุ้นของบริษัท บลูบิค กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด เพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 27.5% ในขณะที่สัดส่วนการถือครองหุ้นของคุณพชรลดลงจาก 16.86% เป็น 15.01% คุณปกรณ์ลดลงจาก 10% เป็น 9.78% และคุณพิพัฒน์จาก 0.70% เป็น 0.62% ตามลำดับ ทั้งนี้ จากการการถือครองหุ้นเกิน 25% ของ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคล ทำให้เข้าเกณฑ์ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษี 10% จากเงินปันผลที่ได้รับจาก BBIK
อย่างไรก็ตาม บริษัท บลูบิค กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย เพื่อประกอบธุรกิจการถือหุ้นบริษัทอื่น (Holding Company) ที่มีผู้ถือหุ้น คือ พชร ถือหุ้น 61.50% นายปกรณ์ ถือหุ้น 35.90 % และ นายพิพัฒน์ ถือหุ้น 2.60% โดยในเวลานี้เป็น Silent Period ใกล้ประกาศผลการดำเนินงานปี 65 โดยยืนยันว่า 3 ผู้บริหารยังคงถือครองหุ้น BBIK
บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า บริษัทมีมุมมองเป็นบวกต่อผลการดำเนินงานของ BBIK โดยคาดว่ากำไรสุทธิ 4 ของปี 2565 ที่คาด 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาสก่อน และคาดกำไรปกติอยู่ที่ 40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อน โตสูงต่อเนื่องและเป็นสถิติใหม่ ตามการรับรู้รายได้จากงานจำนวนมาก และอัตรากำไรที่ดีขึ้น
และคาดกำไรในปี 2565 จะอยู่ที่ 126 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +90% จากปีก่อน และคงกำไรปี 2566 ที่ 222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากปีก่อน ซึ่งมี upside risk อีกอย่างน้อย 17% จากดีลใหญ่ 2 ดีล ที่เรายังไม่รวมในประมาณการ และคาดดีลจบในไตรมาสที่ 1 นี้
บริษัท คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ ราคาเป้าหมาย 150 บาท จากการเติบโตที่ของอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงขาขึ้น และปัจจัยเฉพาะตัวที่โดดเด่นของบริษัท ทั้ง Organic growth ซึ่งยังเติบโตสูงตามความต้องการทำ Digital transformation ในตลาด โดยเฉพาะหลังดีลจบ พนักงานจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จาก 350 คน เป็นกว่า 780 คน ช่วยเพิ่มศักยภาพในการรับงานทั้งในแง่กำลังการผลิตและการขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น รวมถึงเพิ่มความพร้อมการขยายตลาดสู่ต่างประเทศที่เปิดโอกาสให้บริษัทได้มหาศาล ทั้งตลาดยุโรป เอเชีย และสหรัฐอเมริกา