ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ของบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA และบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ปรับตัวลดลงอย่างหนัก โดย STA ปิดการซื้อขายที่ 19.00 บาท ลดลง 5.47% และ STGT ปิดการซื้อขาย 10.20 บาท ลดลง 11.30%
โดยการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นนั้น เกิดขึ้นหลังจาก ทั้ง 2 บริษัท ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 โดย STA รายงานกำไรที่ 1,155.9 ล้านบาท ลดลง 64.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน STGT มีกำไรสุทธิที่ 21.8 ล้านบาท ลดลง 99% จากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้ นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2565 มีรายได้เติบโตในระดับที่น่าพอใจ โดยทำรายได้จากการขายและบริการ 29,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากรายได้และปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ยางแท่งที่เพิ่มขึ้น ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 1,156 ล้านบาท เนื่องจากการปรับลดลงของราคาถุงมือยาง ตามความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางที่อยู่ในช่วงการปรับสมดุล หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มคลี่คลายในหลายประเทศ
“ภาพรวมอุตสาหกรรมยางธรรมชาติ สำหรับผลิตภัณฑ์ยางแท่งในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มีดีมานด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยางแท่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 65,439 บาทต่อตัน ส่วนการใช้น้ำยางข้นชะลอตัวลง ขณะที่ดีมานด์ในกลุ่มถุงมือยางอยู่ในช่วงการปรับสมดุล หลังจากมีซัพพลายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา” นายวีรสิทธิ์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัท ในไตรมาส 4/2565 คาดว่าจะมีปริมาณการขายยางแท่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ มีแผนลงทุนขยายกำลังการผลิตยางอย่างต่อเนื่องเป็น 3.34 ล้านตันต่อปีภายในปี 2567 จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.41 ล้านตันต่อปี เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และรองรับการเคลื่อนย้ายดีมานด์บางส่วนจากอินโดนีเซีย ซึ่งประสบปัญหาของซัพพลายที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากปัญหาโรคใบร่วงในต้นยาง อย่างไรก็ตามต้องติดตามสถานการณ์ราคาเฉลี่ยยางธรรมชาติในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากคาดว่าจะมีซัพพลายในประเทศไทยออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ บริษัท คาดว่าจะมีปริมาณการขายยางธรรมชาติทุกประเภทรวม 1.55 ล้านตันในปีนี้ ใกล้เคียงเป้าหมายที่วางไว้