ธนาคารกรุงไทย โชว์กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 65 แตะ 25,588 ล้านบาท

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ธนาคารกรุงไทย โชว์กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 65 แตะ 25,588 ล้านบาท

Date Time: 21 ต.ค. 2565 18:05 น.

Video

วิธีเอาตัวรอดของ Wikipedia ไม่พึ่งโฆษณา ไม่มีค่าสมาชิก แต่อยู่มาได้ 23 ปี | Digital Frontiers

Summary

  • ธนาคารกรุงไทย โชว์กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 65 แตะ 25,588 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ สินเชื่อ คุณภาพทั้งสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อรายย่อย

ธนาคารกรุงไทย โชว์กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 65 แตะ 25,588 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ สินเชื่อ คุณภาพทั้งสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อรายย่อย

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 65 นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน) หรือ KTB กล่าวว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิ งวด 9 เดือนปี 65 จำนวน 25,588 ล้านบาท เติบโตขึ้น 54% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิไตรมาสที่ 3/65 อยู่ที่ 8,450 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ จากการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพทั้งสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อย รวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้น 2 ครั้งในเดือน ส.ค. และ ก.ย. และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิที่เพิ่มขึ้น 

โดยธนาคารบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวม โดยมี Cost to income ratio เท่ากับ 45.31% ลดลงจาก 46.21% ในไตรมาส 3/ 64 ถึงแม้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ขยายตัวซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรองรับการให้บริการแก่ลูกค้า

ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 5,667 ล้านบาท ลดลง 30.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยธนาคารพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ พิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน

ประกอบกับติดตามภาพรวมของเงินให้สินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio) 3.32% ลดลงเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 ที่เท่ากับ 3.50% และทั้งยังคงรักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูงที่ 176.4% เทียบกับ 168.8% เมื่อสิ้นปี 2564

ภายใต้ทิศทางเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับที่สูง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/65 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เพิ่มขึ้น 1.1% สาเหตุหลักจากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ขยายตัว 7.2% จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ และรายได้จากการดำเนินงานอื่น

ทั้งนี้ ธนาคารบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวม โดยมี Cost to income ratio เท่ากับร้อยละ 45.31 ถึงแม้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ขยายตัวซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรองรับการให้บริการแก่ลูกค้า ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงระดับการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่ยึดหลักระมัดระวัง โดยในระดับเดียวกับไตรมาสที่ผ่านมา

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2565 ธนาคาร และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 25,588 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักจากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ขยายตัว 5.7% จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ขยายตัวจากการเติบโตของสินเชื่ออย่างสมดุลโดยมุ่งเน้นสินเชื่อที่มีคุณภาพทั้งสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อย

ประกอบกับการบริหารต้นทุนทางการเงินและการบริหารค่าใช้จ่ายในองค์รวมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 43.06% ลดลงจาก 44.28% ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ลดลง 30.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยยังคงรักษา Coverage ratio ในระดับที่สูง

ณ 30 ก.ย. 65 ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง เท่ากับ 16.47% และ 20.63% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของ ธปท. ทั้งนี้ ในเดือนเม.ย.65 ธนาคารได้ออกตราสารด้อยสิทธิ ที่สามารถนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 จำนวน 18,080 ล้านบาท

เพื่อทดแทนตราสารด้อยสิทธิที่จะไถ่ถอนจำนวน 20,000 ล้านบาท ในเดือน พ.ย.65 ซึ่งเป็นการไถ่ถอนก่อนวันครบกำหนดเพื่อช่วยรักษาระดับของอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงให้แข็งแกร่งและรองรับการเติบโตในอนาคต


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ