ธนาคารกสิกรไทย โชว์กำไรสุทธิ 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 32,579 ล้าน

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ธนาคารกสิกรไทย โชว์กำไรสุทธิ 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 32,579 ล้าน

Date Time: 21 ต.ค. 2565 14:12 น.

Video

ดร.พิพัฒน์ KKP กระเทาะโจทย์เศรษฐกิจไทย บุญเก่าเจอความเสี่ยง บุญใหม่มาไม่ทัน

Summary

  • ธนาคารกสิกรไทย โชว์กำไรสุทธิ 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 32,579 ล้าน โตขึ้น 15.73% หลังได้รายได้จากดอกเบี้ยสินเชื่อหนุน

ธนาคารกสิกรไทย โชว์กำไรสุทธิ 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 32,579 ล้าน โตขึ้น 15.73% หลังได้รายได้จากดอกเบี้ยสินเชื่อหนุน

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 65 นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3/65 เติบโตต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภายในประเทศ อย่างไรก็ดี ระดับการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมยังคงมีความแตกต่างกัน และการส่งออกเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว

ส่วนที่เหลือของปี 65 แม้จะมีแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว แต่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากผลกระทบของการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป รวมถึงสัญญาณอ่อนแอของเศรษฐกิจจีนซึ่งมีผลกระทบต่อจังหวะการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นกลุ่มสำคัฐของตลาดท่องเที่ยวไทย

นอกจากนี้ คงต้องติดตามผลกระทบจากการขยับสูงขึ้นของต้นทุนการผลิตอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยในประเทศด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ธนาคารกสิกรไทยและบริษัทย่อย เดินหน้าเชิงกลยุทธ์ด้วยการใช้เทคโนโลยี และกระบวนการใหม่ ๆ

รวมทั้งการผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจ และการเป็นธนาคารยุคใหม่แห่งภูมิภาค AEC+3 ในการขยายโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบธนาคารพาณิชย์ให้กับประชาชนในวงกว้าง ให้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนและสภาพคล่อง และใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ ของธนาคาร ส่งเสริมให้ธุรกิจลูกค้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตอบรับโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้น

สำหรับ ผลการดำเนินงานสำหรับงวด 9 เดือน ปี 2565 เมื่อเปรียบเทียบกับงวด 9 เดือน ปี 2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 32,579 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 4,428 ล้านบาท หรือ 15.73% หลักๆ เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 8,261 ล้านบาท หรือ 9.32% จากรายได้ดอกเบี้ย เงินให้สินเชื่อ ซึ่งยังคงเป็นไปตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อใหม่ในกลุ่มลูกค้าบุคคล และกลุ่มลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอี

โดยเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้น ควบคู่กับการนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ในการปล่อยสินเชื่อซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร โดยอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) อยู่ที่ระดับ 3.26%

ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 5,228 ล้านบาท หรือ 16.22% ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรม หรือ Mark to market ตามภาวะตลาดของสินทรัพย์ทางการเงินซึ่งเป็นการลงทุนตามธุรกิจปกติของบริษัทย่อย และการลดลงของรายได้สุทธิจากการรับประกันภัย

สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 3,145 ล้านบาท หรือ 6.22% หลักๆ จากค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ทำร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ค่าใช้จ่ายพนักงาน และค่าใช้จ่ายทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) ลดลงเพียงเล็กน้อยจากงวดเดียวกันของปีก่อน

โดยยังเป็นการตั้งสำรองฯ ในระดับที่สูงตามหลักความระมัดระวังที่ได้พิจารณาปัจจัยเชิงเศรษฐกิจต่างๆ อย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตาม ธนาคารและบริษัทย่อยจะยังคงประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อใหม่ตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร รวมทั้งความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ

ส่วนผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3/65 เปรียบเทียบกับไตรมาส 2/65 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2565 จำนวน 10,574 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 220 ล้านบาท หรือ 2.04% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 1,076 ล้านบาท หรือ 3.36% ส่วนใหญ่จากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อนอกจากนี้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 852 ล้านบาท หรือ 8.97% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยที่ลดลง

ในขณะที่การปรับมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) ของสินทรัพย์ทางการเงินเพิ่มขึ้นตามภาวะตลาด สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจำนวน 181 ล้านบาท หรือ 1.00% ส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณธุรกิจ และค่าใช้จ่ายพนักงาน

ทั้งนี้ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 43.73% รวมทั้งธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) ในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน

ณ วันที่ 30 ก.ย. 65 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 4,229,795 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2564 จำนวน 126,396 ล้านบาท หรือ 3.08% โดยหลักเป็นการเติบโตของเงินให้สินเชื่อสุทธิตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ธนาคารได้ดำเนินการเชิงรุกในการดูแลลูกค้า และเพิ่มความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยให้ลูกค้ามีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นสามารถประกอบธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องซึ่งจะเป็นกำลังขับเคลื่อนการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโดยรวม

ทั้งนี้ เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) อยู่ที่ระดับ 3.07% โดยอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ที่ 148.74% ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสม และสะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 30 ก.ย. 65 อยู่ที่ 19.19% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 17.21%


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ