คาดเศรษฐกิจถดถอย กดดันหุ้นโลกตลอดปี 65 แนะเลี่ยงหุ้นพลังงาน การเงิน

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

คาดเศรษฐกิจถดถอย กดดันหุ้นโลกตลอดปี 65 แนะเลี่ยงหุ้นพลังงาน การเงิน

Date Time: 28 มิ.ย. 2565 17:17 น.

Video

“The Summer Coffee Company” มากกว่า เครื่องดื่ม คือ ความสุข | Brand Story Exclusive EP.3

Summary

  • TISCO ESU ชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย จะกดดันหุ้นทั่วโลกในช่วงที่เหลือของปี แนะหลีกเลี่ยงหุ้นอ่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจอย่างกลุ่มพลังงานและการเงิน

TISCO ESU ชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย จะกดดันหุ้นทั่วโลกในช่วงที่เหลือของปี แนะหลีกเลี่ยงหุ้นอ่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจอย่างกลุ่มพลังงานและการเงิน  

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 65 นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ หรือ TISCO ESU กล่าวว่า มุมมองการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 65 นั้นมองว่าปัจจัยเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอลงและเส้นอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ หรือ Yield Curve ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวกลับมาในระดับที่ใกล้ตัดกัน หรือ Inverted ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย และจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่เหลือของปี 

โดยเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยตรง ซึ่งจากสถิติพบว่า ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำไรรวมของดัชนี S&P 500 ลดลงเฉลี่ยถึง 25% จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มที่ผลประกอบการผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มพลังงาน และกลุ่มการเงิน  

อย่างไรก็ตาม TISCO ESU ประเมินว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกได้ซึมซับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดไปมากแล้ว เห็นได้จากดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ที่เข้าสู่ภาวะตลาดหมีหลังดัชนีลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดเมื่อต้นปี ในขณะที่ดัชนี NASDAQ ซึ่งมีสัดส่วนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสูง ก็ได้ปรับตัวลดลงถึง 30% แล้ว   

รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล หรือ Bond Yield สหรัฐฯ ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และจะเริ่มกลับมาลดลงในช่วงที่เหลือของปี เพราะคาดว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะเริ่มชะลอตัวลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เริ่มปรับตัวลดลง และตัวเลขเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอลง ซึ่งทำให้ตลาดเริ่มปรับลดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ลง

โดยคาดว่า Fed จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 3.5% ในช่วงปลายปีนี้ จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าดอกเบี้ยจะขึ้นไปถึง 4% ในช่วงกลางปีหน้า  ดังนั้น แนะนำให้นักลงทุนใช้โอกาสที่ตลาดปรับฐานทยอยสะสมหุ้นกลุ่มที่กำไรมีศักยภาพในการเติบโตสูงในระยะยาวและไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจระยะสั้นมากนัก

เช่น หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ (Healthcare) ที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว โดยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเฮลท์แคร์มีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 10.2% ต่อปี และสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ในอนาคตยังมีโอกาสเติบโตอีกมากตามเมกะเทรนด์สังคมสูงอายุที่เกิดขึ้นทั่วโลก  

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นเติบโตสูง กลุ่ม Tech  ที่แม้ก่อนหน้านี้จะโดนเทขายอย่างหนัก เพราะได้รับผลกระทบจาก Bond Yield ขาขึ้นกดดันกระแสเงินสดในอนาคตมีมูลค่าลดลง แต่ในอนาคตแรงกดดันดังกล่าวน่าจะลดลงและทำให้หุ้นเริ่มฟื้นตัวได้จากแนวโน้ม Bond Yield ที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะที่โดยเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กำไรของหุ้นกลุ่ม Tech เติบโตสูงถึง 10% ต่อปี สูงกว่าดัชนี S&P 500 ที่กำไรเติบโตโดยเฉลี่ย 7% ต่อปี  


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ