บลจ.บีแคป มองปัจจัยลบยังกดดันตลาดหุ้นครึ่งหลังปี 65 ทำให้ผันผวนต่อเนื่อง แนะกระจายเสี่ยงลงทุนด้วย หุ้นจีน หุ้นไทย รับพื้นฐานแกร่ง
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 65 ดร.ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บลจ.บางกอกแคปปิตอล หรือ BCAP กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ทีมผู้จัดการกองทุนมองว่าเป็นเพียงการรีบาวน์หรือปรับขึ้นช่วงสั้นๆ เท่านั้น
เนื่องจาก ทีมผู้จัดการกองทุน BCAP ประเมินว่าในปี 2022 ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 2.50-2.75% หากเป็นการขับรถถือว่าคนขับกำลังกดแป้นเบรกอย่างหนัก ซึ่งจะเป็นผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปรับลดลงในระยะต่อไป
ทั้งนี้ การเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของ Fed เพื่อเข้าควบคุมเงินเฟ้อ สืบเนื่องจากมุมมองที่ผิดพลาดในช่วงปีที่ผ่านมา ที่ประเมินว่าเงินเฟ้อเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว จนละเลยที่จะควบคุมเงินเฟ้อตั้งแต่ช่วงปี 2021 แม้ว่าปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในเดือน มี.ค. และจะค่อยๆ ปรับลดลงในช่วงที่เหลือของปี
แต่ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า Fed คงจะยืนยันขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บกระสุนหรือเพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายหากเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในอนาคต อีกประเด็นที่ BCAP จับตาอย่างใกล้ชิดคือการถอนสภาพคล่องออกจากระบบ หรือการทำ Quantitative Tightening (QT) หรือซึ่งการทำ QT ของสหรัฐฯ จะเริ่มต้นในเดือน มิ.ย. นี้ในจำนวน 9.5 แสนล้านเหรียญฯ ต่อเดือน
โดยทีมผู้จัดการกองทุนประเมินว่าหาก Fed ลดปริมาณเงินดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจนถึงปลายปี 2024 จะส่งผลต่องบดุลต่อ GDP ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ลดลงจาก 37% ในปัจจุบันเหลือเพียง 20% ซึ่งผลกระทบดังกล่าวมี 2 เรื่องหลักๆ คือ 1. การชะลอตัวของเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และ 2. แรงสนับสนุนในการออมเงิน การลงทุนในตลาดการเงินที่จะลดลง
โดยฝ่ายวิจัยมองว่า ช่วงต่อไปตลาดหุ้นจะมีความผันผวนมากขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นจะลดลงเทียบกับช่วงที่ Fed อัดฉีดสภาพคล่องหลังวิกฤติการเงินในปี 2008 ซึ่งการลงทุนอาจจะใช้ความระมัดระวังที่เพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงครึ่งหลังของปีฝ่ายวิจัยแนะนำให้เน้นการลงทุนหุ้นในกลุ่มประเทศที่มีมูลค่าพื้นฐานถูก ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีอัตราการเติบโตดี และหรือ มีความเสี่ยงต่อการเมืองระหว่างประเทศจำกัด คือประเทศจีนและไทย
ดร.ธนาวุฒิ กล่าวว่า หลังมีแรงเทขายกดดันราคาหุ้นจีนอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากมาตรการ Lock Down ในเมืองสำคัญๆ เช่น ปักปิ่งและเซี่ยงไฮ้ ทำให้หุ้นจีนมีราคาพื้นฐาน (Valuation) ที่ถูกเทียบกับทั้งอดีตและประเทศอื่น แต่ล่าสุดมีสัญญาณการเปิดเมืองพร้อมการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล ทำให้เราประเมินว่าเศรษฐกิจจีนกำลังจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 นี้ ขณะที่หุ้นไทยอาจจะมี Valuation ที่ค่อนไปทางแพงเล็กน้อยเนื่องจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ช่วงต้นปี
ในแง่นโยบายการเงิน ประเทศไทยยังมีแนวโน้มผ่อนคลายเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรป อีกทั้งมีแรงส่งจากปัจจัยนอกประเทศ เช่น การส่งออกและนักท่องเที่ยวที่จะกลับมาจากการเปิดประเทศจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี อีกทั้งผลกระทบโดยตรงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน มีค่อนข้างต่ำ จากนโยบายเป็นกลางของไทย นักลงทุนต่างชาติจึงมองเราเป็นหลุมหลบภัย และจะมี Fund flow ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี ดังนั้นการลงทุนในประเทศจีนและไทยน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้