BBL เผยกำไรสุทธิไตรมาส 1/65 แตะ 7,118 ล้าน โตเพิ่มขึ้น 2.8%

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

BBL เผยกำไรสุทธิไตรมาส 1/65 แตะ 7,118 ล้าน โตเพิ่มขึ้น 2.8%

Date Time: 21 เม.ย. 2565 18:35 น.

Video

วิธีเอาตัวรอดของ Wikipedia ไม่พึ่งโฆษณา ไม่มีค่าสมาชิก แต่อยู่มาได้ 23 ปี | Digital Frontiers

Summary

  • ธนาคารกรุงเทพ เผยกำไรสุทธิไตรมาส 1/65 ที่จำนวน 7,118 ล้านบาท โตเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64

ธนาคารกรุงเทพ เผยกำไรสุทธิไตรมาส 1/65 ที่จำนวน 7,118 ล้านบาท โตเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64

เมื่อวันที่ 21 เม.ย.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยการดำเนินงานไตรมาส 1/65 โดยธนาคาร และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 7,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% จากไตรมาส 1/64 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 10.4% จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินให้สินเชื่อ ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.11%

สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 16.1% ส่วนใหญ่จากกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมลดลงตามสภาวะตลาด และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงจากธุรกิจบัตรเครดิต และบริการประกันผ่านธนาคารและกองทุนรวม ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลง 1.6% ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 49.8% โดยธนาคารตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 6,489 ล้านบาท

ทั้งนี้ ธนาคารกรุงเทพยังคงดำรงฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ ณ สิ้นเดือน มี.ค.65 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,587,534 ล้านบาท อยู่ในระดับเดียวกับ สิ้นเดือน ธ.ค. 64 โดยมีสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่เพิ่มขึ้นสุทธิกับการลดลงของสินเชื่อกิจการต่างประเทศ

สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.3% จากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและเพิ่มขึ้นเป็น 229.0%

โดยธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือน มี.ค. 65 จำนวน 3,194,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% จากสิ้นปีก่อน เป็นผลจากการที่ลูกค้ายังคงต้องการดำรงสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงในภาวะที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 81.0%

ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 19.5% ,16.0% และ 15.2% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่า อัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ 1/65 เศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง จากผลกระทบอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอีกรอบ รัฐบาลจึงต้องเข้มงวดเรื่องการเข้าเมืองอีกครั้ง ทำให้การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศชะลอลง

ขณะเดียวกัน สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน นำไปสู่การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและพลังงานโลก ตลอดจนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ บางประเภท ด้วยเหตุนี้ อัตราเงินเฟ้อจึงได้ปรับเพิ่มขึ้นในประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ทำให้การบริโภค ของภาคเอกชนภายในประเทศชะลอตัว

นอกจากนี้ ยังทำให้ธนาคารกลางในบางประเทศต้องเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก ทำให้ภาคการส่งออกของไทย ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวได้เพียง 12.2% จากเดิมที่เคยขยายตัวได้ถึง 22.1% ในไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้าความผันผวนของตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก จะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

ทั้งนี้ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มว่าจะใช้เวลานานและไม่เท่ากัน โดยแต่ละธุรกิจใช้เวลาในการปรับตัวที่แตกต่างกันออกไป บางธุรกิจฟื้นตัวได้รวดเร็วเช่นกิจการส่งออกไปต่างประเทศ ในขณะที่บางธุรกิจฟื้นตัวช้ากว่าเช่นกิจการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและสันทนาการ

โดยธนาคารกรุงเทพได้ดำเนินการช่วยเหลือลูกค้าในแต่ละภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบในแต่ละช่วงที่ลูกค้าประสบปัญหาโดยเน้นให้การสนับสนุนสภาพคล่องทั้งในระยะสั้นเพื่อประคับประคองให้ธุรกิจอยู่รอด และสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนเมื่อธุรกิจกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ