แนะเก็บหุ้นเชิงคุณค่า ซื้อหุ้นปันผล รอ SET Index ปรับขึ้นครึ่งปีหลัง 65

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

แนะเก็บหุ้นเชิงคุณค่า ซื้อหุ้นปันผล รอ SET Index ปรับขึ้นครึ่งปีหลัง 65

Date Time: 5 ม.ค. 2565 09:44 น.

Video

"CINDY CHAO The Art Jewel" สองทศวรรษอัญมณีศิลป์ | Brand Story Exclusive EP.4

Summary

  • บล.ทิสโก้ ชี้ หุ้นไทยครึ่งปี 65 ยังต้องเผชิญ 3 ปัจจัยกดดัน ทั้งโอมิครอนระบาด เงินเฟ้อพุ่ง และเงินกองทุน LTF เตรียมไหลออก แนะซื้อหุ้นเชิงคุณค่า-ปันผลหลบภัย รอดัชนีปรับขึ้นครึ่งปีหลัง

บล.ทิสโก้ ชี้ หุ้นไทยครึ่งปี 65 ยังต้องเผชิญ 3 ปัจจัยกดดัน ทั้งโอมิครอนระบาด เงินเฟ้อพุ่ง และเงินกองทุน LTF เตรียมไหลออก แนะซื้อหุ้นเชิงคุณค่า-ปันผลหลบภัย มองเป้าหมายหุ้นไทยปี 65 ที่ 1,720 จุด

เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 65 นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ปี 2564 ที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ดีของการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะผลตอบแทนของตลาดหุ้นโลก หรือ MSCI World Index อยู่ที่ 17%

นอกจากนี้มีตลาดหุ้นถึง 21 ประเทศ จากตลาดหุ้นทั้งหมด 48 ประเทศที่อยู่ใน MSCI World Index ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา ได้รับแรงหนุนจากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังมีการฉีดวัคซีนเป็นวงกว้าง รวมทั้งการใช้นโยบายการเงินและการคลังจำนวนมหาศาลเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

สำหรับตลาดหุ้นไทยปี 64 ที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนที่ 14% ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นโลกที่ 17% และอยู่ในอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชีย อย่างไรก็ตามหากเทียบผลตอบแทนตั้งแต่ปี 2563 ถึงปี 2564 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเพียง 5% เทียบกับตลาดหุ้นโลกที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 34% เพราะเป็นผลจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมาฟื้นตัวช้าและยังไม่กลับไปสู่ระดับก่อนช่วงเกิดวิกฤติ COVID-19 หลักๆ จากภาคการท่องเที่ยวที่ยังได้รับผลกระทบหนัก


นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2565 บล.ทิสโก้ มีมุมมองเชิงบวกอย่างระมัดระวัง โดยในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าดัชนีหุ้นไทย หรือ SET Index จะแกว่งไซด์เวย์ในกรอบ 1,550-1,700 จุด ก่อนที่จะปรับขึ้นทะลุระดับ 1,700 จุดในช่วงครึ่งปีหลัง โดย บล.ทิสโก้ ให้เป้าหมาย SET Index ที่เหมาะสมสำหรับสิ้นปี 2565 ที่ 1,720 จุด

โดยในช่วงครึ่งปีแรก 65 บล.ทิสโก้ ประเมินว่า หุ้นไทยจะมีความท้าทาย และมีโอกาสเกิดความผันผวนได้ง่ายจาก 3 ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ

1. ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ระบาดโอมิครอน โดยคาดว่ามีโอกาสที่ผู้ติดเชื้อจะเร่งตัวขึ้นหลังจากผ่านพ้นช่วงฤดูกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ไปแล้ว หากผู้ติดเชื้อกลับมาเพิ่มขึ้นไม่หยุดจนสร้างภาวะตึงตัวแก่ระบบสาธารณสุข หรือลามเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม อาจนำไปสู่การใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจ

2. แนวโน้มเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอยู่และนโยบายการเงินสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้น โดยตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 6.8% สูงสุดในรอบกว่า 40 ปี ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกในระยะสั้น คาดจะสร้างความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการเงินของสหรัฐฯ อาจเข้มงวดเร็วกว่าคาด ทั้งการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและการเร่งปรับลดขนาดงบดุลลง หรือ Quantitative Tightening : QT

3. แรงกดดันจากเงินกองทุนรวมระยะยาว หรือ LTF ครบกำหนด 7 ปี โดยปกติเงินส่วนนี้มักไหลออกในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี จากการประเมินของ บล.ทิสโก้ คาดว่าเงินก้อนนี้จะสามารถไหลออกได้มากถึง 5 หมื่นล้านบาท แต่เชื่อว่าจะมีเม็ดเงิน LTF บางส่วนไหลกลับไปลงทุนกองทุนรวมเพื่อการออม หรือ SSF และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF อีกครั้งเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลให้เงิน LTF ที่จะไหลออกสุทธิน่าจะไม่เกิน 3 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แม้จะมี 3 ปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องจับตาและทำให้ตลาดหุ้นผันผวนได้ แต่บล.ทิสโก้ มองว่า หากหุ้นย่อตัวลงอาจเป็นจังหวะในการเข้าลงทุน เพราะคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังดัชนีหุ้นไทยจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นมาแตะระดับ 1,750-1,800 จุด หลักๆ จากการกระจายวัคซีนเข็มกระตุ้นจะครอบคลุมมากขึ้น และแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเริ่มอ่อนตัวลงในช่วงเวลาดังกล่าว ส่งผลให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนในตลาด

ขณะที่เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง คาดจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสที่ 4/2565 และมีโอกาสที่เงินทุนต่างประเทศจะไหลเข้าจากการแข็งค่าของเงินบาทหลังกลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัด รวมทั้งโอกาสเกิดการเลือกตั้งในปี 2565 ซึ่งตลาดหุ้นไทยมักตอบสนองในทางบวก

นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า ในภาพรวม บล.ทิสโก้ มองตลาดหุ้นไทยปี 2565 ยังน่าลงทุน แต่ต้องรอนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาก้าวกระโดดในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะฉะนั้นตลาดครึ่งปีแรกจึงน่าจะมีโอกาสปรับขึ้น (Upside) จำกัด และมีโอกาสเกิดความผันผวนได้ง่าย จึงเน้นการลงทุนหุ้นเชิงคุณค่า หรือ Value Stoc และหุ้นปันผลดีสม่ำเสมอฟันฝ่าช่วงเวลานี้

โดยมีหุ้นแนะนำสำหรับการลงทุนช่วงครึ่งปีแรก คือ ADVANC, BDMS, DTAC, EGCO, KKP, SCB, SPALI และ WHA สำหรับเดือน ม.ค.65 แนะนำหุ้นที่ราคาพักฐานลงมาแล้วก่อนหน้านี้และมีการจ่ายปันผลดี คือ BEC, DCC, KKP และ TVO

ส่วนหุ้นที่คาดมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุน แนะนำ BJC และ TPIPL ส่งผลให้หุ้นเด่นในเดือน ม.ค. คือ BEC, BJC, DCC, KKP, TPIPL และ TVO ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,620 จุด และแนวรับต่อไปที่ 1,590-1,600 จุด ขณะที่แนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,680-1,690 จุด และแนวต้านต่อไปที่ 1,700 จุด ตามลำดับ.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ