เมย์แบงก์ มองหุ้นไทยปี 65 แกว่งตัวให้กรอบ SET Index ที่ 1,750 จุด

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เมย์แบงก์ มองหุ้นไทยปี 65 แกว่งตัวให้กรอบ SET Index ที่ 1,750 จุด

Date Time: 27 ธ.ค. 2564 15:01 น.

Video

บรรยง พงษ์พานิช แกะปมเศรษฐกิจไทยโตต่ำ ฟื้นช้า พร้อมแนะทางออก

Summary

  • บล.เมย์แบงก์ มองหุ้นไทยปี 65 แกว่งตัวให้กรอบ SET Index ที่ 1,750 จุด มองไตรมาส 1/65 เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แนะหาจังหวะซื้อ

Latest


บล.เมย์แบงก์ มองหุ้นไทยปี 65 แกว่งตัวให้กรอบ SET Index ที่ 1,750 จุด มองไตรมาส 1/65 เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แนะหาจังหวะซื้อ

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.64 นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในไตรมาสที่ 1/65 นั้น เราคาดว่าตลาดจะแกว่งตัวขึ้น โดยประเมินกรอบ SET Index ที่ระดับ 1,600-1,700 จุด ซึ่งมีแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าทั้งภาคการบริโภคในประเทศที่ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ

ทั้งนี้ การส่งออกที่เติบโตดีต่อเนื่องจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ขยายตัว การฉีดวัคซีนที่ทั่วถึงขึ้นหนุนความเชื่อมั่นต่อการลงทุนปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่การท่องเที่ยวจะค่อยๆ ฟื้นตัว และมี Upside Risk หากนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล กระตุ้นบาทแข็ง เอื้อต่อกระแสเงินทุนไหลเข้า

สำหรับปี 2565 เราประเมินกำไรต่อหุ้นของ SET ที่ 94.2 บาทต่อหุ้น (+13%YoY) อิง PE Ratio ที่ 18.6 เท่า เทียบเคียงกับระดับค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 5 ปีของ SET + 0.5 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : SD) จะได้เป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2565 ที่ระดับ 1,750 จุด

ปัจจัยเสี่ยงที่ควรระวัง ได้แก่ 1. แรงขาย LTF ครบกำหนด แนะเพิ่มความระมัดระวังในช่วงต้นปี จากโอกาสเกิดแรงขายจากเม็ดเงิน LTF ที่ครบกำหนดการถือครอง 7 ปีปฏิทิน (ซื้อเมื่อปี 2559)

โดยหากประเมินเม็ดเงินจากยอดซื้อสุทธิในปี 2559 ราว 2.2 หมื่นล้านบาท มีโอกาสถูกไถ่ถอน หรือ Redemption เป็นแรงกดดันระยะสั้นต่อการลงทุน แต่อย่างไรก็ดีมองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีในจังหวะที่ตลาดย่อตัว

2. เศรษฐกิจจีนชะลอตัว คาด GDP จีน ปี 65 ที่ +5.2% เติบโตด้วยอัตราที่ชะลอลงจากปี 64 ที่ +8% แรงกดดันจากทั้งประเด็น COVID-19, มาตรการรัฐฯ ที่เข้มงวดมากขึ้น ผสานความเสี่ยงบริษัทอสังหาฯ ขนาดใหญ่ของจีนที่ผิดนัดชำระหนี้ซึ่งอาจลามไปยังบริษัทอื่นได้ อย่างไรก็ตาม ภาครัฐก็พยายามอัดฉีดสภาพคล่องสู่ระบบ ผ่านการลด RRR ดังนั้นผลกระทบโดยรวมอาจยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

3. การเก็บภาษีเทรดหุ้น มาตรการเก็บภาษีซื้อขายหุ้นสร้างแรงกดดันเพิ่มเติม โดยปัจจุบันรัฐฯกำลังศึกษา 2 แนวทางคือ 1. ภาษีการขายหุ้น หรื Financial Transaction Tax 2. ภาษีกำไรจากการขายหุ้น หรือ Capital gain Tax ในเบื้องต้นเราคาดว่าภาครัฐฯมีโอกาสเก็บภาษีการขายหุ้น

ทั้งนี้ เนื่องจากใช้ข้อมูลในการจัดเก็บภาษีได้ง่ายกว่าภาษีกำไรจากการขายหุ้น ซึ่งจะค่อนข้างยากต่อการคิดต้นทุน โดยหากใช้จริงคาดจะเป็นจิตวิทยาเชิงลบต่อการลงทุนเนื่องจากทำให้ต้นทุนของนักลงทุนมากขึ้น และน่าจะส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดชะลอตัวลงเช่นกัน

นายวิจิตร กล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เราแนะทยอยสะสมหุ้นที่แนวโน้มกำไรขยายตัวดี ขานรับเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่ฟื้นตัวขึ้น ท่ามกลางวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น ผสานหุ้นปันผลสูงที่เป็นเป้าหมายนักลงทุนสถาบันช่วงต้นปี โดยเราเลือกหุ้นไว้ดังนี้

1. ASK เป้าหมาย 55 คาดกำไรปี 64-65 เติบโต 35% YoY ต่อปี และจะเติบโต QoQ แตะระดับสูงสุดใหม่ทุกไตรมาสใน 4Q64-4Q65 รายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมโตแข็งแกร่ง จากยอดขายรถบรรทุกในประเทศที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากนายหน้าประกันภัยเติบโตสูง ราคาหุ้นเทรด PE ปี 65 เพียง 14.5x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 24x

2. GULF เป้าหมาย 48 คาดกำไรปี 2565 เติบโต +45%YoY เด่นสุดในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่เราศึกษา กำลังการผลิตรวมปี 65 เพิ่มขึ้น 33% สู่ 5,045 MW เน้นพลังงานทางเลือกมากขึ้น โดยคาดปีหน้าเพิ่มขึ้นราว 200-400 MW ราคาก๊าซเพิ่มขึ้นกระทบจำกัด (รายได้จากนิคมฯ เพียง 10% ของทั้งหมด)

3. SCC เป้าหมาย 520 ปี 2565 จะแยกธุรกิจปิโตรเคมีเข้าตลาด ช่วยเพิ่มมูลค่า และ ศักยภาพโต แนวโน้มในระยะยาวจะเข้าสู่เฟสของการเติบโต ธุรกิจปิโตรเคมีเพิ่มกำลังการผลิต 55% บรรจุภัณฑ์ครบวงจรโตเท่าตัวใน5ปี วัสดุก่อสร้างเน้นโซลูชั่น หุ้นซื้อขาย PE ต่ำ และ ปันผลดี กระแสเงินสดสูงขยายการลงทุนต่อเนื่อง

4. SPRC เป้าหมาย 11.2 คาดค่าการกลั่นปี 65 ปรับตัวขึ้นสู่ 4.5-5 USD/bbl จากปีนี้ที่ 3.4 USD คาด Utilization Rate ปี 65 ขึ้นสู่ระดับ 85-90% จากปี 64 ที่ 74% ความต้องการ Gasoline สูงขึ้น คาด Spread ที่ 11-12 Vs เฉลี่ย 9 USD คาดปี 65 จะกลับมาจ่ายปันผลได้ราว 5% และ D/E ต่ำเพียง 0.3x

5. WICE เป้าหมาย 22.1 แนวโน้มกำไร 4Q64 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ เป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน นอกจาก sea freight แล้ว WICE เด่นกว่ากลุ่มด้วยธุรกิจ cross border โต +159% YoY สัดส่วนรายได้ 28% Cross border กำลังเร่ง GPM ทั้งจากบริการ LTL และ Road-Rail ซึ่งได้ประโยชน์จากรถไฟจีน-ลาว


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ