ธนาคารกรุงศรี เผยกำไรสุทธิ 9 เดือนปี 64 ที่ 27,409 ล้าน ได้กำไรพิเศษจากการขาย เงินติดล้อ ในไตรมาสที่ 2/64 พร้อมดันสินเชื่อพาณิชย์โตต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 64 ที่ผ่านมา นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY กล่าวว่า ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนของปี 64 ธนาคารกำไรสุทธิ 27,409 ล้านบาท ดันสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโต 4.4% และ 4.2% ตามลำดับ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด อย่างต่อเนื่องผ่านหลายมาตรการเชิงรุก
นอกจากนี้ กรุงศรียังคงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ภาคธุรกิจ และภาคครัวเรือน ที่มีความเปราะบาง เพื่อช่วยลดความรุนแรงของผลกระทบจากโรคระบาด โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่สามที่ภาวะเศรษฐกิจอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน ส่งผลให้ยอดสินเชื่อภายใต้มาตรการช่วยเหลือเพิ่มขึ้นเป็น 233,617 ล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารได้สนับสนุนโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดรวม 25,709 ล้านบาท (ก.ย. 64)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะเผชิญความเปราะบางที่เพิ่มขึ้น แต่การเร่งฉีดวัคซีนทั่วประเทศที่มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคในช่วงต้นไตรมาสที่สี่ของปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นความต้องการสินเชื่อในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 กรุงศรีจึงคงเป้าหมายการเติบโตของเงินให้สินเชื่อในปีนี้ ในกรอบล่างของ 3-5%
โดย ณ วันที่ 30 ก.ย. 64 ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อรวม 1.85 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.78 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.49 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 291.72 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 18.46% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 13.50%
สรุปผลประกอบการและฐานะการเงินที่สำคัญสำหรับช่วง 9 เดือนของปี 64
- กำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจปกติลดลง 2.2% หรือจำนวน 431 ล้านบาท จากช่วงเก้าเดือนแรกของปี 63 โดยส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อหลายครั้งเพื่อบรรเทาภาระหนี้ของลูกค้า และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเพื่อลูกหนี้รายย่อย
- เมื่อรวมกำไรพิเศษจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นใน บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) ในไตรมาสที่ 2/64 ส่งผลให้ธนาคารมีกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 64 อยู่ที่ 27,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.5% จากช่วงเดียวกันปี 63
- เงินให้สินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 1.2% หรือจำนวน 21,294 ล้านบาทจากสิ้นเดือน ธ.ค. 63 ซึ่งเกิดจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของสินเชื่อ SME และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่ 4.4% และ 4.2% ตามลำดับ สะท้อนความมุ่งมั่น และทุ่มเทของกรุงศรีในการช่วยเหลือลูกค้าผ่านหลายมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบ
- เงินรับฝาก ลดลง 2.8% หรือจำนวน 51,564 ล้านบาทจากสิ้นเดือน ธ.ค. 63 โดยส่วนใหญ่เกิดจากการบริหารจัดการสภาพคล่องเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มสัดส่วนเงินรับฝาก ออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ หรือ NIM อยู่ที่ 3.23% เทียบกับ 3.63% ในช่วงเดียวกันของปี 63 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อหลายครั้ง และการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเพื่อลูกหนี้รายย่อย
- รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจำนวน 12,104 ล้านบาท หรือ 50.5% จากช่วงเดียวกันของปี 63 โดยปัจจัยหลักมาจากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นเงินติดล้อ หากไม่รวมรายการพิเศษจากการขายเงินลงทุนข้างต้น รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากการดำเนินธุรกิจปกติเพิ่มขึ้นจำนวน 1,377 ล้านบาท หรือ 5.7%
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 42.1% ในไตรมาส 3/64 จาก 43.0% ในไตรมาส 2/64 โดยเกิดจากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของธนาคารท่ามกลางปัญหาการแพร่ระบาดของโควิดที่ยืดเยื้อ และอยู่ที่ 43.0% ในช่วง 9 เดือนของปี 64 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 63 อยู่ที่ 41.2%
- อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL Ratio อยู่ที่ 2.27% ณ สิ้นเดือนก.ย. 64
- อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ธนาคารยังคงรักษาระดับการตั้งเงินสำรองอย่างรอบคอบระมัดระวัง เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด จึงทำให้อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 177.5% ณ สิ้นเดือน ก.ย. 64
- อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 18.46% จาก 17.92% ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 63