SCGP เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 85 ใน Deltalab ลุยตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์

เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ขยายธุรกิจซื้อหุ้นร้อยละ 85 ใน Deltalab, S.L. ประเทศสเปน ลุยตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพิ่มพอร์ตสินค้ามูลค่าสูง

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 64 นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ตามกลยุทธ์ของบริษัทมุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ สุขภาพและการแพทย์ บริษัทจึงรุกเข้าสู่ตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง โดยการนำความรู้และความเชี่ยวชาญมาต่อยอด

ล่าสุด SCGP ได้ลงนามสัญญาเข้าซื้อหุ้นร้อยละ 85 ใน Deltalab, S.L. หรือ Deltalab ประเทศสเปน ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยธุรกรรมจะเสร็จสิ้นประมาณไตรมาสที่ 3 ของปี 2564

สำหรับ Deltalab, S.L. เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์คุณภาพสูงในยุโรป โดยมีผลิตภัณฑ์มากกว่า 15,000 รายการ (SKUs) และมีกำลังการผลิต 250 ล้านชิ้นต่อปี ประกอบด้วย ถ้วยเก็บตัวอย่างของเหลวจากร่างกาย หลอดสุญญากาศสำหรับถ่ายเทตัวอย่าง หรือ Liquid containers and tubes for vacuum system หลอดเก็บตัวอย่างเลือด หรือ Traceable blood collection tube set for Haematology หลอดขนาดเล็กสำหรับงานวิเคราะห์พันธุกรรม หรือ Microtubes and flexible plates for real time PCR

รวมไปถึงหลอดปิเป็ตขนาดต่างๆ สำหรับถ่ายเท ตวง ของเหลว หรือ Various types of pipettes for liquid handling ตู้แช่แข็งเก็บวัคซีนและตัวอย่างทางพันธุกรรม หรือ Cold (Cryogenic) storage system for vaccine and Molecular Biology ชุดตรวจสวอบ หรือ Swab test set ภาชนะและบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มที่เน้นความปลอดภัยและสุขอนามัย หรือ Hygine & Safety industrial packaging เป็นต้น

โดยมีการส่งออกสินค้าไปยัง 125 ประเทศทั่วโลก ในปี 2563 Deltalab, S.L. มีรายได้ 72.7 ล้านยูโร หรือ ประมาณ 2,800 ล้านบาทและมีทรัพย์สินรวม ณ สิ้นปี 2563 อยู่ที่ 54.3 ล้านยูโร หรือประมาณ 2,100 ล้านบาท

นายวิชาญ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันความต้องการในการตรวจและวินิจฉัยโรคสูงขึ้นทั่วโลก เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและการแพทย์ จนกลายเป็นหนึ่งในเซกเมนต์ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 26,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 8.1 แสนล้านบาท) ในยุโรป และประมาณ 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณร้อยละ 7-9 ต่อปี