บล.บัวหลวง มองแนวโน้มหุ้นไทยไตรมาส 2/64 ลุ้นแตะ 1,600 จุดอีกครั้ง

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

บล.บัวหลวง มองแนวโน้มหุ้นไทยไตรมาส 2/64 ลุ้นแตะ 1,600 จุดอีกครั้ง

Date Time: 30 เม.ย. 2564 18:58 น.

Video

แก้เกมหุ้นไทยตกต่ำ ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดแผนฟื้นความเชื่อมั่น | Money Issue

Summary

  • บล.บัวหลวง มองแนวโน้มหุ้นไทยไตรมาส 2/64 ลุ้นแตะ 1,600 จุดอีกครั้ง รับกำไรบริษัทจดทะเบียนครึ่งปีแรกโตราว 77% ขณะที่ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องช่วยเหลือประชาชนและภาคท่องเที่ยว

Latest


บล.บัวหลวง มองแนวโน้มหุ้นไทยไตรมาส 2/64 ลุ้นแตะ 1,600 จุดอีกครั้ง รับกำไรบริษัทจดทะเบียนครึ่งปีแรกโตราว 77% ขณะที่ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องช่วยเหลือประชาชน และภาคท่องเที่ยว

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2/64 ว่า แม้สถานการณ์โควิด-19 จะกลับมาระบาดระลอกใหม่แต่เชื่อว่า SET Index ยังมีโอกาสลุ้นแตะระดับ 1,600 จุดได้ ในช่วงปลายไตรมาส 2 หนุนด้วย 4 เหตุผลหลัก ดังนี้

1.กำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้อาจเติบโตประมาณ 77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในช่วงไตรมาสแรกอาจโตประมาณ 83% ขณะที่ในช่วงไตรมาส 2 อาจขยายตัวประมาณ 71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานกำไรที่ต่ำในปีที่ผ่านมา ประกอบกับตอนนี้ภาครัฐไม่ได้ประกาศล็อกดาวน์ประเทศเหมือนปี 63 มีเพียงมาตรการคุมเข้มเวลาเปิดปิดในบางกิจการ เพื่อป้องการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

"กำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น โดยได้รับแรงหนุนมาจากกลุ่มน้ำมัน และปิโตรเคมี หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มายืนระดับ 66 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล รับกับการบริโภคน้ำมันที่ฟื้นตัวทั่วโลก ขณะที่กลุ่มสื่อสาร, นิคมอุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง และประกัน คาดว่าจะมีกำไรเติบโตในไตรมาสแรก เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาส 4 ปี 63 สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ จากจุดต่ำสุดในต้นปี 63"

2.ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการท่องเที่ยว เช่น ผลักดันงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 3 แสนล้านบาท, ธปท.อนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์ผ่อนผันการชำระหนี้ และออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan), กระทรวงการคลังขยายมาตรการคนละครึ่ง ขยายระยะเวลาโครงการเราชนะไปจนถึงเดือน มิ.ย.64 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือน พ.ค.นี้

รวมถึงยังเพิ่มวงเงินอีก 3,000 ล้านบาท เป็น 2.13 แสนล้านบาท และขยายระยะเวลาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ลดอัตราธรรมเนียมการโอนอสังหาริมทรัพย์เหลือ 0.01% รวมถึงการพิจารณาอาจลดมาตรการเข้มงวดในมาตรการพิจารณาสินเชื่อ LTV และผ่อนผันให้ชาวต่างชาติ ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น เป็นต้น

3. แนวโน้มทิศทางอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำไปอย่างน้อยอีก 12-18 เดือน หลังเมื่อปีก่อนธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาต่ำเป็นพิเศษ เพื่อช่วยลดผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ขณะเดียวกันยังคงเดินหน้าอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ 0-0.25% ไปถึงปี 66

4. นักลงทุนอาจคลายความกังวลและเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (US Bond Yield) อายุ 10 ปี อาจเริ่มอ่อนตัวลง จากช่วงที่ผ่านมาที่ปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1.75% จากความกังวลอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะพุ่งจนธนาคารกลางคุมไม่อยู่ และต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในที่สุด

ขณะเดียวกันจากสถานการณ์โควิด-19 ที่กลับมาระบาดระลอกใหม่ เรามองว่ายังเร็วเกินไปที่จะเห็นการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน และเป้าหมาย SET Index ปี 64 ลงอย่างมีนัย ปัจจุบันเราคาดว่ากำไรต่อหุ้นจะอยู่ระดับ 83 จุด และดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 1,605 จุด ตามลำดับ เนื่องจากกลุ่มส่งออกอิเล็กทรอนิกส์, น้ำมัน, ปิโตรเคมี, พาณิชย์, สถาบันการเงิน และวัสดุก่อสร้าง ผ่านจุดต่ำสุด แม้ภาคท่องเที่ยวยังไม่สามารถกลับมาได้ โดยจะขอรอดูสถานการณ์อีกประมาณ 1 เดือน หากมีผู้ติดเชื้อใหม่พุ่งขึ้นทำนิวไฮเรื่อยๆ อาจเห็นการปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนลง

นายชัยพร กล่าวต่อว่า เราแนะนำลงทุนใน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ 1.กลุ่มกำไรเติบโตเร็วที่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่อย่าง หุ้นกลุ่มการเงินบุคคล, บริหารจัดการหนี้, ประกัน และอิเล็กทรอนิกส์ และ 2.กลุ่มธุรกิจรอการเปิดประเทศเชื่อมโยงการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ คือ กลุ่มค้าพาณิชย์, สนามบิน, โรงแรม และร้านอาหาร

ส่วนกลุ่มที่แนะนำให้รอดูสถานการณ์ คือ 1.กลุ่มกำไรฟื้นตัวกลับเร็ว อย่างกลุ่มน้ำมัน, ปิโตรเคมี, กองเรือ, สถาบันการเงิน และโรงกลั่น โดยอาจเห็นราคาหุ้นปรับตัวลงบ้างในช่วงไตรมาส 2 นี้ เพราะราคาหุ้นมีการฟื้นตัวเร็วมากไปแล้ว ประกอบกับราคาน้ำมันดิบมีความเสี่ยงอ่อนตัวลง จากประเทศซาอุดีอาระเบียที่อาจปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบอีกราว 1 ล้านบาร์เรล ในการประชุมโอเปก เดือน พ.ค.นี้ และ 2.กลุ่มกำไรเติบโตสม่ำเสมอ เช่น กลุ่มโรงฟ้า และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่ยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก ในช่วงกำไรตลาดหุ้นมีการฟื้นตัวที่เร็ว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำลงทุน ตลาดหุ้นสัดส่วน 65% แบ่งเป็น หุ้นไทย 35% และอีกครึ่งหนึ่งในส่วนนี้ให้กระจายการลงทุนไปตลาดหุ้นต่างประเทศทองคำ สัดส่วน 10% “กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุน REIT สัดส่วน 10% ส่วนที่เหลืออีก 15% แนะถือครอง ตราสารหนี้ระยะสั้น และ เงินสด โดยเราคาดว่านโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลาย รวมถึงการเข้าถึงวัคซีนของประชากรโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากนี้จะสนับสนุนการปรับตัวขึ้นของราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นได้โดดเด่นสุด

"การลงทุนระยะสั้นในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า เราคาดจะเห็นกรอบการแกว่งตัวของดัชนีประมาณ 100 จุด ฉะนั้นการลงทุนในช่วงนี้อาจต้องอยู่ในลักษณะ ลงซื้อ ขึ้นขาย โดยหุ้นไซส์กลางจะแกว่งตัวอยู่ในระดับ 5-7% หุ้นมูลค่าตลาดใหญ่จะแกว่งตัวแคบประมาณ 5% ส่วนหุ้นขนาดเล็กตอนนี้มีเสน่ห์มากกับตลาด เพราะสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า ท่ามกลางนักลงทุนยังคงเชื่อมั่นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจจะฟื้นตัว และกำไรบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้นแม้ว่าจะไม่รวดเร็วเท่าประเทศที่มีการฉีดวัคซีนในสัดส่วนที่สูงมาก ปัจจุบันนักลงทุนโฟกัสหุ้นนอก SET100 มากขึ้น เพราะมีโอกาสจะเห็นความผันผวนของราคาประมาณ 10-15% ส่วนนักลงทุนคนไหนที่ถือหุ้น SET50 อยู่ แนะนำให้ ถือต่อไป เพื่อรอการฟื้นตัวของรายได้ กำไร ที่ต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี"


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ