ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 22 เม.ย.64 ปิดที่ 1,568.21 จุด ลบ 11.80 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 93,330.76 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,600.57 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด SAWAD ปิด 83.50 บาท ลบ 4.75 บาท, KBANK ปิด 137 บาท ลบ 3 บาท, STA ปิด 48.75 บาท บวก 2 บาท, SCC ปิด 430 บาท บวก 8 บาท, SCB ปิด 106.50 บาท บวก 0.50 บาท
บล.เอเซียพลัส ชี้หุ้นไทยผันผวนด้วยประเด็น COVID-19 ส่งผลต่อประมาณการ GDP Growth 64F ที่มีโอกาสสร้าง Downside ต่อเศรษฐกิจผ่านช่องทางการบริโภคเอกชน, การลงทุนเอกชน และการท่องเที่ยว แต่ผลกระทบที่แท้จริงยังต้องรอประเมินต่อไป เพราะขึ้นกับ มาตรการควบคุมโรคจะยาวนานเพียงใด
โดยเอเซียพลัสคาดการณ์ GDP Growth ปี 64 ที่ 2.6%yoy ตามเดิม แต่เบื้องต้นประเมิน Sensitivity Analysis ว่าทุกๆ 0.25% ที่องค์ประกอบข้างต้นชะลอตัว จะส่งผลให้ GDP ชะลอตัวราว 0.14% สวนทางกับการทยอยปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนขึ้น สะท้อนได้จาก Bloomberg Consensus ล่าสุด มีการทยอยปรับ EPS64F ขึ้น ล่าสุดอยู่ที่ 80.2 บาท/หุ้น (ขณะที่ต้นปีอยู่ที่ 75.2 บาท/หุ้น)
ขณะที่ในมุมมองกำไรบริษัทจดทะเบียนเชื่อว่า Downside ค่อนข้างจะจำกัด และยังมีหลาย Sector อาจถูกปรับประมาณการขึ้นอยู่มาก โดยมีหลายบริษัทใหญ่ที่ฝ่ายวิจัยฯทยอยปรับประมาณการกำไรขึ้นไปแล้ว อาทิ STGT, STA, PTTEP, PTTGC, SAWAD ฯลฯ หนุนให้เกิด Upside ต่อสมมติฐาน EPS64F เดิมที่ 70.2 บาท/หุ้น
สรุป การปรับประมาณการกำไรขึ้น ถือเป็น Sentiment ที่ดีต่อภาพรวมตลาดฯ โดยเฉพาะปีนี้ กำไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสโตเกิน 32% จากเดิมที่ประเมินไว้ และจากสถิติในอดีต พบว่า ปีไหนที่กำไรโตเกิน 30% ดัชนีหุ้นมักปรับตัวขึ้นแรงกว่า 20% ทั้งสิ้น
กลยุทธ์เลือกหุ้นที่มีแรงบวกหนุนและกำไรมีโอกาสดีกว่าคาด ดังนี้ SCC (FV@450) หนึ่งในหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งกำไรโตเด่น ในทุกส่วนธุรกิจ ประเมินกำไรกลับมาสูงเกิน 1 หมื่นล้านบาทต่อไตรมาส, KSL (FV@3.70) ได้แรงหนุนจากราคาน้ำตาลที่ขึ้นแรง 14% mtd และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี
และ TMT (FV@11.00) ราคาเหล็กฟื้นตัวแรงตั้งแต่ 4Q63 ตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก น่าจะหนุนกำไรหุ้นกลุ่มเหล็กงวด 1Q64 โดดเด่น!!
อินเด็กซ์ 51