LPN เตรียมออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.95% จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 1 แสนบาท เผยนำเงินที่ได้ไปซื้อที่ดิน ขยายกิจการเพิ่มตามแผนธุรกิจปี 64-67
เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 64 นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงด้านการเงิน บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวว่า บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนทั่วไป อายุหุ้นกู้ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.95% ต่อปี
ทั้งนี้ กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณทุก 100,000 บาท กำหนดเสนอขายวันที่ 10 – 12 พ.ค. 64 โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ไปซื้อที่ดิน เพื่อใช้ในการขยายกิจการและรองรับเป้ารายได้และการเติบโตในอนาคตตามแผนธุรกิจปี 2564-2567
โดยทั้งบริษัทและหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากบริษัท ทริสเรทติ้ง ที่ระดับ BBB+ แนวโน้มคงที่ ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่า LPN จะสามารถรักษาผลการดำเนินงานไว้ได้ตามที่คาดการณ์ และบริษัทจะสามารถส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ได้ตามแผนแม้ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด ซึ่งตอกย้ำความมั่นใจในความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ LPN
นอกจากนี้ LPN เป็นแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้งอาคารชุดพักอาศัย และบ้านพักอาศัย โดย LPN ยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงจะรักษาความสามารถในการแข่งขัน มีนโยบายทางการเงินที่มีวินัย และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป” นายอภิชาติ กล่าว
นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า ในปี 2564-2567 บริษัทได้วางยุทธศาสตร์ปี 2564-2567 ให้เป็นปีแห่งการขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งการเติบโตของรายได้ กำไร การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ พร้อมกับการพัฒนาคุณภาพของที่อยู่อาศัยและการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ โดยมีเป้าหมายรายได้ไม่ต่ำกว่า 16,000 ล้านบาท ในปี 2567 ซึ่งในปี 2564 นี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวบ้านพักอาศัย 6 โครงการ มูลค่าประมาณ 5,500 ล้านบาท และเปิดตัวโครงการอาคารชุดพักอาศัย 2-3 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้ง ยังคาดว่า อัตรากำไรขั้นต้นโดยเฉลี่ยของบริษัทไม่น่าจะต่ำกว่า 30% ในช่วงปี 2564-2566 รวมถึงคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับ 1,000-1,500 ล้านบาทต่อปีในช่วง 2564-2566 อีกด้วย
โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่า บริษัทจะยังคงรักษาอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ให้สูงเกินกว่าระดับ 15% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ในช่วง 8-10% ได้ตลอดระยะเวลาประมาณการ