บล.เอเซียพลัส มองทิศทางตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่งตัวในทิศทางขาขึ้น ในกรอบ 1,580–1,644 จุด โดยปัจจัยพื้นฐาน ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียน Downside ในการปรับลดประมาณการน้อยลง และเป็นเทรนด์ปรับขึ้นรวมถึงสภาพคล่องในระบบ เริ่มเห็นการเคลื่อนย้ายเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นส่งผลดีต่อตลาดหุ้น
มีปัจจัยต่างประเทศที่น่าต้องติดตามคือรายงานดัชนี PMI ภาคบริการของโลก อาทิ สหรัฐฯ, จีน, ยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่ตลาดคาดว่าจะฟื้นตัวสอดคล้องกับดัชนี PMI ภาคการผลิตของโลกที่ฟื้นตัวในเดือน มี.ค.64 และคาดว่า IMF จะมีการปรับเพิ่ม World GDP Growth ปี 64-65 หลังจากการกระจายวัคซีน Covid-19 และมาตรการการคลังสหรัฐฯของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯออกมาได้เร็วกว่าที่คาด
รวมทั้งรายงานการประชุม Fed Minutes ซึ่งจะให้รายละเอียดเพิ่มขึ้นกับผลการประชุม Fed รอบล่าสุด ทั้งมุมมองเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการพิจารณาดอกเบี้ยนโยบาย และโครงการซื้อพันธบัตร QE ปัจจุบัน 120 พันล้านเหรียญต่อเดือน โดยเอเซียพลัสยังคงมุมมองเดิมคือ ปีนี้ Fed จะยังคงดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปี คาดเป็นบวกต่อตลาดหุ้นโลกในระยะถัดไป
ส่วนประเด็นในประเทศคือการประชุม ครม.พิจารณาอนุมัติโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 วงเงิน 84,361 ล้านบาท ประเมินหุ้นที่จะได้กระแสเก็งกำไร อาทิ PTT, GULF และหุ้นรับเหมาที่มีความเชี่ยวชาญก่อสร้างท่าเรือ แนะนำเก็งกำไร ITD และ NWR และบริษัทสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ชนะสัมปทาน แนะนำซื้อ STEC
ขณะเดียวกันแนะนำหุ้น SPALI (FV@25.50) ช่วงท้ายเดือน เม.ย. ถึงต้นเดือน พ.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทใหญ่ขึ้นเครื่องหมาย XD ทำให้มีแรงเก็งกำไรก่อนการจ่ายปันผลเสมอ โดย SPALI จะประกาศ XD ปลาย เม.ย.
โดยหากพิจารณาแนวโน้มธุรกิจปี 64 ถือว่าเป็นปีทองของ SPALI ทุกด้าน โดยเฉพาะการสร้าง New high ของยอดโอนฯ และกำไรที่เด่นสุดในกลุ่มฯโดยคาดโต 43% YoY รวมถึงฐานะการเงินมี Net Gearing ระดับต่ำ 0.55 เท่า (ณ สิ้นปี 63) สามารถให้ Dividend Yield สูงกว่า 5% ต่อปี ภายใต้ PER 9 เท่า ให้ FV ปี 64 ที่ 25.50 บาท
และแนะนำหุ้น BDMS ให้มูลค่าพื้นฐานที่ 24 บาท ยังมี Upside!!
อินเด็กซ์ 51