ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 24 ก.พ.64 ปิดที่ 1,491.11 จุด ลดลง9.50จุด มีมูลค่าซื้อขาย 96,248.34 ล้านบาท ต่างชาติ 2,442.88 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STA ปิด 50.50 บาท บวก 3.25บาท,OR ปิด 30.75 บาท ลบ 0.25 บาท, PTT ปิด 39.50 บาท ลบ1บาท,CPALL ปิด 60.25 บาท บวก 1.25 บาท และ COM7 ปิด 47.50 บาท บวก2บาท
หุ้นไทยกลับมาปิดต่ำกว่า 1,500 จุดอีกครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่กองทุนต่างชาติปรับพอร์ต ก่อนที่ MSCI จะปรับน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยลงวันที่ 25 ก.พ.นี้ แม้มีปัจจัยบวกด้านจิตวิทยาจากการที่ไทยรับมอบวัคซีนโควิดลอตแรกแล้ว ขณะที่สถานการณ์การเมืองในไทยมีความไม่แน่นอน ล่าสุด 3 รมต.ในรัฐบาล ถูกศาลตัดสินจำคุกคดี กปปส.ล้มเลือกตั้งชัตดาวน์กรุงเทพฯ และยึดสถานที่ราชการ ทำให้ต้องหลุดจากตำแหน่งทันที
ขณะที่ถ้อยแถลงของประธานคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยืนยันใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อ ถือเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นโลก โดย บล.เอเซียพลัสประเมินว่านาย Jerome Powell แถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาประจำปี ยืนยันว่า “Fedยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป (อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯขณะนี้ ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.25% และมาตรการ QE) เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอน และที่สำคัญมองไปที่ 12 เดือนข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯยังคงต่ำกว่าเป้าหมายของ Fed ที่ตั้งไว้ 2%”
โดยรวมทำให้ตลาดหุ้นตีความในเชิงบวก และเป็นปัจจัยหนุนสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากตลาดคาด Fed จะยังไม่ทำ QE tapering สอดคล้องกับที่เอเซียพลัสเคยนำเสนอ
นอกจากนี้ยังมีประเด็น Bond Yield 10 ปี ในหลายประเทศขยับขึ้นแรง แสดงให้เห็นถึง Momentum ของนักลงทุนที่กล้าย้ายเงินจากสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ มาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น สอดคล้องกับที่ต่างชาติขายสุทธิตราสารหนี้ไทยต่อเนื่อง 7 วันติดด้วยมูลค่า 7.3 พันล้านบาท และเริ่มมีการสลับเข้ามาซื้อหุ้นบ้าง 8 ใน 12 วันทำการที่ผ่านมา
สรุปภาพการยอมรับความเสี่ยงที่มากขึ้นของนักลงทุน (Bond Yield เร่งตัวขึ้น) บวกกับความกังวล Tapering QE ที่ผ่อนคลายลง และการเริ่มทยอยฉีดวัคซีนเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จะหนุนให้Fund Flow จากที่ไหลเข้าบางๆไหลเข้ามาในปริมาณสูงขึ้น!!
อินเด็กซ์ 51