ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เผยแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ มุ่งสู่การเป็น สถาบันการเงินไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า พร้อมเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน ภายในปี 2566
เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 64 นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) หรือ BAY กล่าวว่า ตลอดปี 2563 ที่ผ่านมา ในฐานะสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบของประเทศไทย (Domestic Systemically Important Bank: D-SIB) กรุงศรีฯ ได้ดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความช่วยเหลือและลดภาระทางการเงินของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
ขณะเดียวกัน กรุงศรีฯ ก็มีผลประกอบการที่น่าพอใจ และเมื่อมองย้อนกลับไปที่แผนธุรกิจระยะกลางฉบับที่ 2 ซึ่งครอบคลุมปี 2561-2563 ที่ผ่านมา เราสามารถบรรลุเป้าหมายในการก้าวสู่การเป็นกลุ่มสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศไทย โดยได้รับการยกย่องให้เป็นสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ
พร้อมด้วยคุณภาพของสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง การเร่งขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากพิจารณาจากความสำเร็จที่เกิดขึ้นและความท้าทายต่างๆ ในช่วงแผนธุรกิจระยะกลางที่ผ่านมา รวมถึงปัจจัยจากวิกฤติการระบาดของโควิด-19 และผลกระทบที่ยืดเยื้อ
รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของสภาวะตลาดและภาพรวมเศรษฐกิจทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก กรุงศรีฯ จึงได้กำหนดแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ซึ่งครอบคลุมปี 2564-2566 ด้วยจุดมุ่งหมายสู่การเป็น สถาบันการเงินไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า พร้อมเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน
สำหรับแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ปี 2564-2566 กรุงศรีฯ มุ่งให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ควบคู่กับการเร่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดใหม่ๆ ภายนอกประเทศ โดยได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ 5 ประการ คือ
1. การปฏิรูปธุรกิจลูกค้ารายย่อยให้เป็นหนึ่งเดียว (One Retail Transformation) โดยอาศัยฐานข้อมูลลูกค้าขนาดใหญ่ของกรุงศรีฯ เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงความต้องการเฉพาะตัวของลูกค้า และสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกับประสบการณ์ลูกค้าในทุกช่วงชีวิต
2. การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจด้านลูกค้าธุรกิจ (Commercial Business Enhancement) ผ่านการเร่งสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับห่วงโซ่ธุรกิจ (value chains) และการให้บริการข้ามกลุ่มลูกค้า
3. การสร้างระบบนิเวศของกรุงศรีฯ เอง และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ (Ecosystem and Partnership) เพื่อขยายฐานลูกค้า
4. การขยายธุรกิจสู่ระดับภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Expansion) เปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สำหรับกรุงศรีฯ และลูกค้าในตลาดอาเซียน โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการลงทุนและการช่วยเหลือลูกค้าในการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในอาเซียน
5. การสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ (New Revenue Stream) โดยอาศัยความแข็งแกร่งและศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาของกรุงศรีฯ ในการพัฒนานวัตกรรมโซลูชันใหม่ๆ
นายเซอิจิโร กล่าวอีกว่า สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย กรุงศรีฯ ยังคงมุ่งให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือลูกค้า การรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้แข็งแกร่งต่อเนื่อง และการบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน ก็เดินหน้าสู่เส้นทางใหม่ตามแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ เพื่อก้าวสู่การเป็นสถาบันการเงินไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าทั่วทั้งอาเซียน ซึ่งพร้อมเป็นพันธมิตรที่คอยช่วยเหลือ และเชื่อมโยงทุกความต้องการด้านการเงินทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ อย่างครอบคลุมทั่วภูมิภาค
ในปี 2564 กรุงศรีฯ คาดว่าเงินให้สินเชื่อจะเติบโตในระดับ 3-5% และมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ 3.1 – 3.3% การเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา และอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2.7%