เอสซีจี เผยผลประกอบการปี 63 กำไรดีกว่าปีก่อน 7% แม้มีโควิด-19 เผยใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี สร้างโอกาสใหม่ๆ มอบนวัตกรรมสินค้า บริการโซลูชันครบวงจรตอบโจทย์ลูกค้า ล่าสุดเตรียมปันผลในอัตราหุ้นละ 14.0 บาท
เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 64 นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG กล่าวว่า งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจี ประจำปี 2563 มีรายได้จากการขาย 399,939 ล้านบาท ลดลง 9% จากปีก่อน จากราคา และปริมาณขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง
โดยมีกำไรสำหรับปี 34,144 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในทุกธุรกิจ โดยปี 2563 เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services–HVA) 126,115 ล้านบาท คิดเป็น 32% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน
สำหรับไตรมาสที่ 4/63 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 97,250 ล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน จากความต้องการในสินค้าซีเมนต์ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างลดลงผลจากปัจจัยตามฤดูกาล และผลกระทบจากโควิด-19 อีกทั้งธุรกิจเคมิคอลส์มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ (MOC) ในไตรมาสนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการหยุดซ่อมบำรุงนี้ทำได้เสร็จเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ ทำให้สามารถชดเชยปริมาณขายที่จะลดลงไปได้บางส่วน แต่ก็ยังส่งผลให้ปริมาณขายของธุรกิจเคมิคอลส์ลดลงในไตรมาสนี้ และลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ สาเหตุหลักจากปริมาณขายของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ลดลง ผลจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงงาน MOC ประกอบกับรายได้จากการขายของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด
นายรุ่งโรจน์ กล่าวต่อว่า เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 8,048 ล้านบาท ลดลง 17% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากผลการดำเนินงานที่ลดลง ของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด รวมถึงปัญหาฝนตกและน้ำท่วมในภูมิภาค
ประกอบกับมีขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของธุรกิจซีเมนต์ในประเทศเมียนมาและอินโดนีเซีย แต่เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่จากผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ดีขึ้น ปัจจัยหลักมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในปี 2563 ทั้งสิ้น 168,719 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วน 42% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นจาก 41% ในปีก่อน ยอดสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธ.ค.63 มีมูลค่า 749,381 ล้านบาท โดย 38% เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน
สำหรับผลการดำเนินงานของ SCG ในปี 2563 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้
- ธุรกิจเคมิคอลส์ ในปี 2563 มีรายได้จากการขาย 146,870 ล้านบาท ลดลงร้อย 17% จากปีก่อน จากราคาและปริมาณขายสินค้าที่ลดลง โดยมีกำไรสำหรับปี 17,667 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน ผลจากส่วนต่างราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น
ส่วนผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2563 ธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 36,035 ล้านบาท ลดลง 5% จากไตรมาสก่อน และลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายที่ลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ของโรงงาน MOC ที่เลื่อนมาจากแผนเดิมในไตรมาส 2
โดยมีกำไรสำหรับงวด 5,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น 108% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาวัตถุดิบที่ลดลงและมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ
- ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในปี 2563 มีรายได้จากการขาย 171,720 ล้านบาท ลดลง 7% จากปีก่อน เนื่องจากการระบาดของโควิดและสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงมีความท้าทาย โดยมีกำไรสำหรับปี 6,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องและต้นทุนการผลิตที่ลดลง
ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ปี 63 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 40,284 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลง 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว และผลจากโควิด-19 ระลอกใหม่ ปัญหาฝนตกและน้ำท่วมหนักในประเทศในช่วงเดือน ต.ค. ทำให้ไม่สามารถจัดส่งสินค้าได้
นอกจากนี้ ประเทศเวียดนาม และกัมพูชา เผชิญกับฝนตกหนักจากพายุฝนที่รุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขาย โดยมีขาดทุนสำหรับงวด 194 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ในประเทศเมียนมาและอินโดนีเซีย เป็นจำนวน 1,316 ล้านบาท และหากไม่รวมรายการขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ดังกล่าว จะมีกำไรสำหรับงวดเป็นจำนวนเงิน 1,122 ล้านบาท
- ธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง ในปี 2563 มีรายได้จากการขาย 92,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน มีกำไรสำหรับปี 6,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อน เนื่องจากการที่บริษัทมีลูกค้าอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพอนามัย การซื้อสินค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ
รวมถึงปริมาณการขายสินค้าของบริษัทในกลุ่มดังกล่าวเติบโตขึ้นเช่นกัน จากกลยุทธ์การมอบโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงามและมีนวัตกรรม และการสร้างประโยชน์จากการผนึกพลัง (Synergy) ในประเทศไทย และประเทศอินโดนีเซีย
สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2563 ธุรกิจแพ็กเกจจิ้งมีรายได้จากการขาย 23,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,486 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
"ผลประกอบการของปี 2563 ยังแข็งแกร่งท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก เป็นผลมาจากความร่วมแรงร่วมใจของพนักงานเอสซีจีทุกคนที่ ขณะเดียวกันก็ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และรูปแบบการทำงานได้รวดเร็ว ทั้งการปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ปรับสัดส่วนการขาย พัฒนาช่องทาง Active Omni-Channel ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้เอสซีจีสามารถส่งมอบนวัตกรรมสินค้า บริการ พร้อมโซลูชันต่างๆ ครบวงจร ตอบโจทย์ตลาดได้อย่างรวดเร็ว"
ขณะเดียวกัน SCG ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งบริษัท สยามซานิทารีแวร์ อินดัสทรี จำกัด ได้นำห้องน้ำสำเร็จรูป (Bathroom Mobile Unit) นวัตกรรมโซลูชันจากเอสซีจีซึ่งออกแบบ และผลิตแบบเบ็ดเสร็จพร้อมใช้งานจากโรงงาน จำนวน 5 ห้อง ไปติดตั้งให้แก่ศูนย์ห่วงใยคนสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดยมูลนิธิเอสซีจีสนับสนุนเพิ่มอีกจำนวน 32 ห้อง เพื่ออำนวยความสะดวก และบรรเทาความเดือดร้อนในระยะเร่งด่วนให้บุคลากรทางการแพทย์ ชาวไทย และชาวเมียนมากว่า 1,600 คน
นอกจากนี้ มูลนิธิเอสซีจีได้ช่วยกระจายนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ไปยังพื้นที่ที่ขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และมีการแพร่ระบาดสูง เช่น ห้องแยกป้องกันเชื้อความดันบวก-ลบแบบเคลื่อนที่ สำหรับปฏิบัติการในห้องฉุกเฉินและห้องไอซียู เครื่อง Thermo Scan สำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ฯลฯ รวมถึงทุนช่วยเหลือชาวเมียนมาผ่านจังหวัดสมุทรสาคร รวมมูลค่ากว่า 6,000,000 บาท
ล่าสุด คณะกรรมการบริษัท SCG ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 63 ในอัตราหุ้นละ 14.0 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 16,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 49% ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม
ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 5.5 บาท เป็นเงิน 6,600 ล้านบาท เมื่อวันศุกร์ที่ 28 ส.ค. 63 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 8.5 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 10,200 ล้านบาท
สำหรับการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันศุกร์ที่ 9 เม.ย. 64 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพฤหัสบดีที่ 8 เม.ย.64 โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันศุกร์ที่ 23 เม.ย. 64 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี