ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 3 ธ.ค.63 ปิดที่ 1,438.32 จุด เพิ่มขึ้น 20.37 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 82,636.93 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 967.64 ล้านบาท หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิดที่ 42.25 บาท บวก 1.25 บาท, KBANK ปิด 115.50 บาท บวก 4 บาท, IVL ปิด 34.25 บาท บวก 2.25 บาท, BAM ปิด 22.30 บาท บวก 1.20 บาท และ PTTEP ปิด 99 บาท บวก 0.50 บาท
กระแสเงินทุนยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่อง ขณะที่ได้รับข่าวดีความคืบหน้าวัคซีนโควิด-19
บล.เอเซียพลัส ออกบทวิเคราะห์น่าสนใจระบุว่า ปัจจัยแวดล้อม ยังไม่สามารถหยุด Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นได้ แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงเริ่มมีการพบผู้ติดเชื้อในประเทศ 10 ราย และกระแสการชุมนุมนอกสภาฯ ยังมีความต่อเนื่อง แต่สภาพคล่องที่ล้นระบบ หรือ Fund Flow ยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง
โดยต่างชาติซื้อสุทธิเดือน ธ.ค. 1.6 พันล้านบาท (mtd), (เดือน พ.ย. 3.2 หมื่นล้านบาท) เช่นเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ถูกซื้อสุทธิเช่นกัน เดือน ธ.ค. 737 ล้านเหรียญ (mtd), (เดือน พ.ย. 1.08 หมื่นล้านเหรียญ)
ในอีกมุมหากพิจารณาปริมาณการซื้อขายหุ้นของต่างชาติ พบว่าเร่งขึ้นมามาก ในเดือน ธ.ค. เฉลี่ยอยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท/วัน, เดือน พ.ย. เฉลี่ยอยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท/วัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งปีที่ 2.3 หมื่นล้านบาท/วัน มาก
สรุปคือ การเร่งตัวทั้งปริมาณซื้อขายต่อวัน และมูลค่าซื้อสุทธิหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ถือเป็นเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนเน้นพื้นฐานแข็งแกร่งขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องสูง น่าจะ Outperform ตลาดได้ดี อย่าง KBANK และ SCC รวมถึงหุ้นที่มีแรงขับเคลื่อนเฉพาะตัวอย่าง VGI
โดยหากโฟกัสรายตัว SCC มีทิศทางธุรกิจระยะ 3-5 ปีข้างหน้าเห็นการเติบโตชัดเจน โดยธุรกิจปิโตรเคมีจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 70% จากปัจจุบัน หลังโรงงาน LSP ในเวียดนามเปิดดำเนินการปี 66 ส่วนธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จะเป็น Cash Cow สร้างกระแสเงินสดให้กับกลุ่มฯ และใช้กลยุทธ์ Solutions & Solutions เพื่อเพิ่มอัตรากำไร ขณะที่ธุรกิจ Packaging หลังเข้าระดมทุน IPO ช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงิน และมีศักยภาพที่จะมีรายได้เติบโตขึ้นอีก 1 เท่าตัว ภายในปี 68
ให้ราคาเป้าหมายพื้นฐานปี 64 อยู่ที่ 430 บาท เทียบเท่า PER 12 เท่า มี Upside 15% บวกกับ Dividend Yield อีก 3.5%!!
อินเด็กซ์ 51