ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 30 พ.ย. ปิด 1,408.31 จุด ลบ 29.47 จุด มีมูลค่า การซื้อขาย 120,486.50 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 4,372.45 ล้านบาท หุ้นไทยร่วงแรงนำโดยหุ้นที่ถูกปรับออกจากดัชนี MSCI ที่มีผลบังคับใช้ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลในการแพร่ระบาดรอบ 2 ของโควิด-19 ในประเทศไทย ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและสันทนาการมีแรงขายออกมา ทั้ง AOT-CENTEL-MINT-ERW ขณะที่หุ้นที่โดนปรับลดจากดัชนี MSCI ที่ปรับตัวลงแรง นำโดยหุ้นแบงก์ TMB ตามด้วย KTB, SCB, BBL-KBANK
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ให้กรอบดัชนี สัปดาห์นี้อยู่ที่ 1,410–1,450 จุด กลยุทธ์การลงทุน แนะเก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง นำโดย COM 7, GLOBAL และ AMATA ส่วน บล. ฟิลลิป ให้แนวรับ–แนวต้านไว้ที่ 1,390–1,460 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุน ชอบหุ้น COM7 ที่ได้ปัจจัยบวกจากการเปิดตัว Iphone12 และ VGI ที่ได้ประโยชน์จากการปรับดัชนี MSCI
ปิดท้าย มุมมอง บล.เอเซียพลัส มอง Fund Flow ที่เป็นฟันเฟืองหลักในการผลักดันหุ้นไทย เกิดแรงหน่วงในช่วงสั้น จากการกลับมาพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทย รวมถึงยังมีประเด็นรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย คุณสมบัตินายกฯ ทำให้ประเมินกรอบการขึ้นของดัชนีค่อนข้างจำกัด ขณะที่ดัชนีมีโอกาสปรับฐาน
ส่วนแรงหนุน Fund Flow เฉพาะรายหุ้น คือ MSCI Rebalance ดัชนี โดยมีหุ้นไทยที่ถูกคัดเข้าดัชนี Global Standard
อย่าง DELTA, STGT และดัชนี Global Small Cap. อย่าง BPP, ICHI, JMART, M, RBF, TFG, TISCO และ VGI ขณะที่ STGT ยังมีแรงหนุนต่อจากการถูกคัดเข้า FTSE Mid Cap. มีผลบังคับใช้ราคาปิดวันที่ 18 ธ.ค.63
ดังนั้นจึงเลือกหุ้นที่มีแรงหนุนเฉพาะตัวจาก Fund Flow อย่าง STGT เข้าคำนวณทั้งดัชนี FTSE และ MSCI บวกกับได้ Sentiment เชิงบวกจากการพบผู้ติดเชื้อโควิดในไทย และหุ้น BGRIM ราคายัง Laggard กลุ่ม แต่กำไรโตไม่แพ้ใครในกลุ่ม!!
อินเด็กซ์ 51