ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 22 ต.ค.63 ปิดที่ 1,213.61 จุด ลดลง 2.87 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 66,255.54 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 661.91 ล้านบาท
บล.เอเซียพลัสออกบทวิเคราะห์ ประเมินจากการให้สัมภาษณ์ของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ระบุว่า ผู้ว่าการ ธปท. ให้น้ำหนักการดำเนินนโยบายการเงินผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายน้อยลง
เนื่องจากมองว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 0.5% นั้นเป็นระดับที่ต่ำสุดในภูมิภาค และต่ำสุดในประวัติศาสตร์แล้ว ส่งผลให้ช่องว่างหรือความสามารถในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกมีจำกัด
ดังนั้น การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป จึงต้องให้น้ำหนักกับมาตรการด้านการคลังแทน
ซึ่งจากมุมมองล่าสุดของผู้ว่าการ ธปท.นี้ เอเซียพลัส จึงคาดว่าโอกาสที่ ธปท.จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกภายหลังจากนี้จะมีน้อยลงหนุนให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มทรงตัวต่ำที่ 0.5% ต่อไป ซึ่งเอเซียพลัสประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจะมีแนวโน้มทรงตัว
อย่างน้อย 2 ปี สอดคล้องกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่ ธปท.คงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่องกันนาน 8 ไตรมาส (2 ปี)
ดังนั้น ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 64 ด้วยวิธี Market Earning Yield Gap ที่ระดับ 4.5% โดยอิงอัตราดอกเบี้ย
นโยบายที่ 0.5% ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่อนุรักษนิยม เพราะสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 4.25% จะได้ P/E ที่ระดับเหมาะสมในการซื้อขาย 20 เท่า เมื่อนำมาคูณกับ EPS 64F ที่ 72.51 บาท/หุ้น จะได้เป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปี 64 ที่ 1,450 จุด
เมื่อเทียบกับดัชนีในปัจจุบันที่ระดับ 1,210.67 จุด ถือว่ามี Upside เกือบ 20% ถือเป็นโอกาสสะสมระยะกลาง-ยาวของนักลงทุน
และในส่วนของมาตรการด้านการคลังเอเซียพลัสเชื่อว่าช่วง 4Q63 จะมีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจไหลเข้าระบบอีกราว 2 แสนล้านบาท โดยให้น้ำหนักมาตรการกระตุ้นการบริโภค เช่น การเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการอีก 500 บาท, มาตรการคนละครึ่ง และมาตรการช้อปดีมีคืน ที่จะเริ่มวันที่ 23 ต.ค.นี้
ซึ่งจะเป็น Sentiment บวกต่อหุ้นค้าปลีกต่อไป เช่น CRC, CPALL, BJC, SPVI, COM7, JMART, HMPRO และ ILM เป็นต้น!!
อินเด็กซ์ 51