บลจ.วีแนะลงทุน RMF กระจายการลงทุนในทองคำแท่ง โลหะเงิน หุ้นเหมืองทอง หุ้นเหมืองเงิน รับมือความผันผวนในระยะยาว
นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วี จำกัด กล่าวว่า หลังจากราคาทองคำขึ้นไปแตะระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 2,070 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ในวันที่ 6 ส.ค.63 ได้เพียง 3 วัน ราคาทองมีการปรับตัวลง จากข่าวการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ของรัสเซีย นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ที่เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้เกิดการปรับฐานของราคาทองคำ โดยปัจจุบันราคาทองคำอยู่ที่ระดับ 1,862 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ (ณ วันที่ 28 ก.ย. 63)
ทั้งนี้ บลจ.วี ประเมินว่า จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) กำหนดเป้าหมายที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 2% และยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับใกล้เคียงร้อยละ 0.00 และมีแนวโน้มที่จะไม่มีการปรับเพิ่มจนถึงปี 2022 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันซึ่งส่งผลดีต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งราคาทองคำ และเงิน
ขณะเดียวกัน ต้นทุนการทำเหมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นทุนในการขุดเป็นแบบคงที่ (fixed cost) ดังนั้นเวลาที่ราคาทองคำแท่ง หรือเงินแท่งปรับเพิ่มขึ้น ส่วนต่างที่เกิดขึ้น คือ กำไรที่หุ้นเหมืองได้รับ เมื่อพิจารณา Gold and Silver Ratio ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง ซึ่งอยู่ที่ 66:1 (เงิน 66 ออนซ์สามารถซื้อทองได้ 1 ออนซ์)
แต่ในปัจจุบันอยู่ที่ 82 ทำให้ราคาโลหะเงินยังต่ำกว่าเมื่อเทียบกับราคาทองคำโดยในระยะถัดไป คาดว่าเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจะมีความต้องการใช้โลหะเงินเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการแพทย์และเทคโนโลยีต่างๆ ที่กำลังเติบโต
"เราจึงมองว่าช่วงเวลานี้เป็นโอกาสที่ดีในการทยอยเข้าลงทุนทองคำแท่ง เงินแท่ง รวมถึงหุ้นเหมืองทอง หุ้นเหมืองเงิน และตราสารหนี้ เพื่อสร้างผลตอบแทน และกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน และรับมือกับความผันผวนในระยะยาว"
ล่าสุด เราได้เปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก หรือ IPO กองทุนเปิด วี มันนี่ มาร์เก็ตเพื่อการเลี้ยงชีพ (WE-MONYRMF) และกองทุนเปิด วี โกลด์ แอนด์ ซิลเวอร์ อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (WE-GOLDRMF) ระหว่างวันที่ 1-4 ต.ค. 63 เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนเพื่อการเกษียณพร้อมรับสิทธิประโยชน์สำหรับการลดหย่อนภาษี