WHA ส่งสัญญาณรอรับการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ เช่าคลังสินค้า ตั้งโรงงาน

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

WHA ส่งสัญญาณรอรับการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ เช่าคลังสินค้า ตั้งโรงงาน

Date Time: 22 ก.ย. 2563 13:37 น.

Video

บรรยง พงษ์พานิช แกะปมเศรษฐกิจไทยโตต่ำ ฟื้นช้า พร้อมแนะทางออก

Summary

  • WHA มองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจ ประกาศพร้อมรับการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ เตรียมเซ็นสัญญาเช่าคลังสินค้าและโรงงาน ตลอดจนการซื้อขายที่ดินอีกหลายฉบับ

WHA มองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจ ประกาศพร้อมรับการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ เตรียมเซ็นสัญญาเช่าคลังสินค้าและโรงงาน ตลอดจนการซื้อขายที่ดินอีกหลายฉบับ  

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA กล่าวว่า ธุรกิจโลจิสติกส์ เป็นกลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ที่ยังคงเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี จากการผนึกกำลังกับพันธมิตรในระยะยาว ตลอดจนอุปสงค์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

โดยในครึ่งแรกของปี 2563 มีการลงนามในสัญญาเพื่อเช่าคลังสินค้าแบบ Buit-to-Suit รวมถึงโรงงานสำเร็จรูป (RBF) และคลังสินค้าสำเร็จรูป (RBW) ไปแล้วเกือบ 100,000 ตารางเมตร และในไตรมาสที่ 3 เองก็ได้มีการลงนามสัญญาอีกประมาณ 40,000 ตารางเมตร

นอกจากนั้นบริษัทก็อยู่ระหว่างการเจรจาให้เช่าพื้นที่คลังสินค้าอีกกว่า 170,000 ตารางเมตรกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจอาหาร และธุรกิจผู้ประกอบการโลจิสติกส์ โดยคาดว่าพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารทั้งหมดของบริษัทฯ จะเพิ่มขึ้นเป็น 2,560,000 ตารางเมตร ภายในสิ้นปี 2563 นี้

อย่างไรก็ตาม ตลอดปีที่ผานมา WHA ได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงมาใช้ในการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ อาทิ เทคโนโลยี 5G, IoT, ระบบการจัดเก็บและเรียกคืนสินค้าอัตโนมัติ (AS/RS) และรถลำเลียงสินค้าอัตโนมัติ (AGV)

โดยดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป วางแผนว่าจะขายพื้นที่คลังสินค้า Built-to-Suit จำนวน 130,000 ตารางเมตร เข้ากองทรัสต์ WHART และพื้นที่โรงงาน RBF และคลังสินค้า RBW จำนวน 50,000 ตารางเมตร เข้ากองทรัสต์ HREIT คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินรวม 4,600 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม บมจ. ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ยังคงตอกย้ำตำแหน่งผู้นำในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 3 ครอบคลุมพื้นที่รวม 2,200 ไร่ ได้ดำเนินการพัฒนาใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

นอกจากนี้ การก่อสร้างของนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 11 ของดับบลิวเอชเอ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 จะเริ่มขึ้นในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 หลังจากได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างและผ่านการรับรองตามมาตรฐานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ไปแล้วก่อนหน้านี้

ขณะเดียวกันโครงการขยายนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 4 ในพื้นที่อีอีซี และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี 2 มีกำหนดเริ่มดำเนินการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ ดับบลิวเอชเอ พร้อมรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตเพื่อเตรียมต้อนรับนักลงทุนที่วางแผนย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยจากผลกระทบของความตึงเครียดทางการค้า หรือการหยุดชะงักของซัพพลายเชน

นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับเป้าหมายยอดขายที่ดินในปี 2563 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันโดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินรวมทั้งปีเท่ากับ 900 ไร่ แบ่งเป็นยอดขายในประเทศไทย 600 ไร่ และประเทศเวียดนาม 300 ไร่ ซึ่งแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาการเจรจาเพื่อขายและส่งมอบที่ดินจะยังไม่สามารถทำได้เต็มที่นัก

เนื่องจากข้อจำกัดการเดินทางแต่บริษัทฯ ก็ได้มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ โดรน มาใช้เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการขายที่ดิน ตลอดจนได้มีการเสนอแนวทางเปิดน่านฟ้าและมาตรการรองรับการเดินทางสำหรับนักธุรกิจโดยเฉพาะต่อภาครัฐเพื่อสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น

สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค และพลังงาน บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ มั่นใจครึ่งปีหลังธุรกิจฟื้นตัวได้อานิสงส์จากสถานการณ์ภัยแล้งคลี่คลาย ส่งผลให้ผู้ประกอบการกลับมาดำเนินธุรกิจได้อย่างปกติ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและยานยนต์ รวมถึงการดำเนินธุรกิจของลูกค้ากลุ่มใหม่

ส่วนธุรกิจดิจิทัล แพลตฟอร์ม ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท เดินหน้าติดตั้งไฟเบอร์ออฟติก (FTTx) ให้ครอบคลุมพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 10 แห่งในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันติดตั้งอย่างสมบูรณ์แบบแล้วในนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 6 แห่ง และเร่งดำเนินการติดตั้งให้เสร็จสิ้นอีก 4 แห่ง

สำหรับโครงการ ดับบลิวเอชเอ ทาวเวอร์ (WHA Tower) อาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของบริษัท บนถนนเทพรัตน กม.7 (ถนนบางนา-ตราด เดิม) พร้อมเปิดโครงการในเดือน ธ.ค.63 โดยโครงการดังกล่าวเป็นอาคารสูง 25 ชั้น เกรดเอ มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 52,000 ตารางเมตร

โดยโครงการดังกล่าวตอบโจทย์การทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและการทำงานร่วมกัน เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ บริษัทข้ามชาติ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสตาร์ทอัพ ที่ต้องการพื้นที่ทำงานแบบเปิดกว้างเพื่อกระตุ้นให้เกิดการทำงานประสานกัน.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ