บล.ทิสโก้ ประเมินหุ้นไทยในเดือน ก.ย. ถูกประเด็นการเมืองกดดันซ้ำ

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

บล.ทิสโก้ ประเมินหุ้นไทยในเดือน ก.ย. ถูกประเด็นการเมืองกดดันซ้ำ

Date Time: 1 ก.ย. 2563 12:58 น.

Video

ล้วงไส้ TEMU อีคอมเมิร์ซจีน บุกไทย ทำไมอาจสร้างวิบากกรรมกว่าที่คิด ? | Digital Frontiers

Summary

  • บล.ทิสโก้ ชี้ หุ้นพลังงาน และกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยหดตัวลง ถ่วง SET ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดโลก คาดเดือน ก.ย. ถูกกดดันต่อจากประเด็นการเมือง

Latest


บล.ทิสโก้ ชี้ หุ้นพลังงาน และกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยหดตัวลง ถ่วง SET ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดโลก คาดเดือน ก.ย. ถูกกดดันต่อจากประเด็นการเมือง

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นโลกเดือน ส.ค. ฟื้นตัวกลับมาเทียบเท่ากับช่วงก่อนระบาดของโควิด-19 โดยดัชนี MSCI World Index ซึ่งเป็นตัวแทนดัชนีหุ้นโลกปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนมี COVID-19 ไปแล้ว 4%

ขณะที่หุ้นไทยยังคงย่ำอยู่กับที่ และมีทิศทางที่แย่กว่าตลาดหุ้นโลก (Underperform) ซึ่งเป็นไปตามที่ บล.ทิสโก้ได้เคยประเมินไว้ โดยดัชนีหุ้นไทยปีนี้ยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนระบาดโควิด-19 โดยติดลบอยู่ 17% ส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างของหุ้นไทยที่มีน้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงานมากเป็นอันดับหนึ่ง ที่ประมาณ 22%

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าหุ้นโลกอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งเนื่องจากกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีความอ่อนไหวสูงต่อทิศทางราคาน้ำมัน และภาวะเศรษฐกิจมีน้ำหนักต่อการคำนวณดัชนีหุ้นไทยค่อนข้างมาก แถมกว่า 70% ของเศรษฐกิจไทยพึ่งพิงกับภาคต่างประเทศ จึงทำให้ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากวิกฤติโควิด

ขณะที่หุ้นโลก (MSCI World Index) นั้น พบว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศมีน้ำหนักต่อดัชนีมากเป็นอันดับหนึ่ง ที่ 21% ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบน้อยมากจากโควิด และกำลังเติบโตตามเทรนด์หลักของโลก

นอกจากนี้ แนวโน้มการหั่นประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยที่ยังไม่จบจะกดดันระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยให้ยิ่งแพงขึ้น จากการตรวจสอบประมาณการกำไรของตลาดในปีนี้ และปีหน้ายังคงถูกหั่นลงอยู่

โดยในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยถูกหั่นลงอีก 3.5% และ 4.6% มาอยู่ที่ 59.0 บาท และ 76.7 บาท ตามลำดับ นับเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ส่งผลให้ปัจจุบัน ค่าเฉลี่ยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Fwd. PER) ของตลาดหุ้นไทยปีนี้ และปีหน้าอยู่ในระดับสูงที่ 22.2 เท่า และ 17.1 เท่า ตามลำดับ ถือว่าแพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ประมาณ 15-16 เท่า

นายอภิชาติ กล่าวต่อว่า จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลาดหุ้นไทยไม่แกว่งไปไหน มากว่า 3 เดือนแล้ว ซึ่งแตกต่างจากประมาณการกำไรโดยรวมของตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนา (MSCI DM) กลุ่มประเทศเกิดใหม่ (MSCI EM) และกลุ่มภูมิภาคเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น (MSCI Asia ex. Japan) ที่มีแนวโน้มปรับขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน

สำหรับการชุมนุมทางการเมืองเดือน ก.ย.นี้ คาดว่าจะมีน้ำหนักต่อดัชนีหุ้นไทยมากขึ้น และจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะถ่วงตลาดหุ้นไทยให้มีแนวโน้มปรับขึ้นน้อยกว่าหุ้นโลก (Underperform) โดยจากการเก็บสถิติพบว่า ในช่วงที่มีการชุมนุม 3 ครั้งล่าสุด คือ การชุมนุมพันธมิตรฯ การชุมนุมนปช. และการชุมนุมของกปปส.นั้น ดัชนีหุ้นไทยมักจะปรับตัวลงเฉลี่ย ลบเกือบ 3% ซึ่งสวนทางกับตลาดหุ้นโลก ที่ในช่วงเวลาเดียวกันจะปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2% นอกจากนี้ ยังพบว่า ผลตอบแทนของหุ้นไทยจะผันแปรไปตามระยะเวลาที่มีการชุมนุม โดยยิ่งมีการชุมนุมนาน ยิ่งกดดันตลาดมาก

ทั้งนี้ หลังจากที่หุ้นไทยแกว่งตัวไม่ไปไหนร่วม 3 เดือน และมูลค่าซื้อขายแผ่วลงต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าจะเห็นการหมุนกลุ่มหุ้นลงทุนไปเรื่อยๆ (Sector Rotation) โดยมองว่าหลังจากนี้นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเริ่มฟื้นตัวจากไตรมาส 2/2563 ที่เป็นจุดต่ำสุด แต่ราคาหุ้นยังขยับตัวขึ้นช้าอยู่ (Laggards) ผสานกับความหวังเกี่ยวกับพัฒนาวัคซีนที่คาดจะช่วยกระตุ้นราคาหุ้นเหล่านี้เป็นระยะ

ปัจจัยที่ควรติดตามในเดือน ก.ย. 63  

1. การสิ้นสุดมาตรการควบคุมความผันผวนของตลาดในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ทั้งการปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor จากเดิม +/- 30% เป็น +/- 15% และการปรับเกณฑ์ Short Sales เป็น Uptick Rule จะทำให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นหลังที่คาดว่าจะทำให้ปริมาณ Short Sales กลับมาทยอยเพิ่มขึ้นสู่ระดับปกติที่ประมาณ 5% ของมูลค่าการซื้อขายของตลาดโดยรวม

2. ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอดีตมักทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งพักฐานในกรอบจำกัด

สำหรับหุ้นเด่นที่แนะนำในเดือน ก.ย. คือ AEONTS, BEM, BGC, CENTEL, CRC และ TU ด้านแนวรับสำคัญของหุ้นไทยในเดือน ก.ย. มองอยู่ที่ 1,310-1,290 จุด และมีแนวรับถัดไปที่ 1,270-1,280 และ 1,250 จุดตามลำดับ ส่วนแนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,340-1,350 จุด และมีแนวต้านถัดไปที่ 1,380-1,390 จุด ตามลำดับ.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์