ก็เป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลก เมื่อ แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้ง อาลีบาบากรุ๊ป จะนำบริษัทลูก Ant Group หรือ Ant Financial มดยักษ์การเงินของจีน เข้าไปจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ยื่นไฟลิ่งไปตั้งแต่วันอังคาร แสดงว่า จีนไม่ได้ทิ้งฮ่องกง ตามข่าวปลอม ตั้งเป้าระดมทุน 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 949,500 ล้านบาท (คิดที่ 31.65 บาท) ทำให้แอนท์กรุ๊ปเป็นบริษัทที่ไอพีโอใหญ่ที่สุดในโลก โค่นแชมป์เก่า Saudi Aramco ของซาอุดีอาระเบีย
มหาเศรษฐีนํ้ามันที่ครองอันดับหนึ่งมานาน จากการระดมทุนได้ 29,400 ล้านดอลลาร์
ผลประกอบการครึ่งปีแรกนี้ แอนท์ กรุ๊ป มีรายได้ 72,500 ล้านหยวน มีกำไรสุทธิ 21,900 ล้านหยวน (3,200 ล้านดอลลาร์) เท่ากับมีกำไรสุทธิสูงถึง 30.20% เลยทีเดียว เพิ่มขึ้นถึง 1,000% เมื่อเทียบกับกำไรปีที่แล้ว
แอนท์ กรุ๊ป เป็นผู้ให้บริการแอปจ่ายเงิน Alipay ที่คนรู้จักกันทั่วโลก มีลูกค้าในจีนกว่า 900 ล้านคน และมีผู้ใช้บริการสม่ำเสมอทุกเดือนกว่า 700 ล้านคน แอนท์ กรุ๊ป เป็นบริษัทฟินเทคใน เครืออาลีบาบา ซึ่งถือหุ้นอยู่ 33% และ แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบามีแผน จะนำหุ้น แอนท์ กรุ๊ป ออกขายราว 10-15% แต่ยังไม่มีการกำหนดราคาสุดท้าย คาดกันว่ามูลค่าไอพีโอของแอนท์ กรุ๊ป จะสูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่ง นสพ.ไฟแนนเชียลไทม์ สหรัฐฯ คาดว่าจะทำให้ แอนท์
กรุ๊ป มีมูลค่าตลาดระหว่าง 200,000-300,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 6.33-9.49 ล้านล้านบาท เห็นแล้วก็ได้แต่อิจฉามหาเศรษฐีแจ็ค หม่าจริงๆ
เศรษฐกิจโลกวันนี้ แม้จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากไวรัสโควิด-19 แต่ธุรกิจไฮเทค ไบโอเทค กลับเติบโตสวนวิกฤติอย่างรวดเร็ว เห็นมาร์เกตแคปของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้แล้วก็ตื่นตาตื่นใจ วันนี้ (พุธ) ราคาหุ้น “แอปเปิล” อยู่ที่ 499.63 ดอลลาร์ มาร์เกตแคป 2.134 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 67.54 ล้านล้านบาท มากกว่าจีดีพีประเทศไทยถึง 4 เท่า แต่ P/E แอปเปิลอยู่ที่ 37.95 ตํ่ากว่าหุ้นแย่ๆ ในตลาดหุ้นไทยมากมาย เลยไม่แปลกใจทำไมตลาดหุ้นนิวยอร์กจึงมีเสน่ห์ ราคาหุ้นขึ้นเอาๆแบบไม่สนโควิด จน ดัชนีหุ้นดาวโจนส์พุ่งผ่าน 28,000 จุด ไปแล้ว
ไปสำรวจท็อป 10 หุ้นมาร์เกตแคปยักษ์ใหญ่ ของสหรัฐฯเป็นขวัญตากันดูครับ
อันดับ 1 แอปเปิล 2.134 ล้านล้านดอลลาร์ อันดับ 2 อเมซอน 1.676 ล้านล้านดอลลาร์ อันดับ 3 ไมโครซอฟท์ 1.641 ล้านล้านดอลลาร์ อันดับ 4 อัลฟาเบธ (กูเกิล) 1.093 ล้านล้านดอลลาร์ อันดับ 5 เฟซบุ๊ก 800,000 ล้านดอลลาร์ อันดับ 6 อาลีบาบา 767,300 ล้านดอลลาร์ (24.28 ล้านล้านบาท 1.4 เท่าจีดีพีประเทศไทย) อันดับ 7 เบิร์กไชน์ ฮาร์ทะเวย์ 509,500 ล้านดอลลาร์ อันดับ 8 วีซ่า 443,000 ล้านดอลลาร์ (เล็กกว่าอาลีบาบา) อันดับ 9 ไต้หวัน เซมิคอนดัคเตอร์ 415,000 ล้านดอลลาร์ อันดับ 10 จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 400,300 ล้านดอลลาร์ อันดับ 11 เทสลา 377,000
ล้านดอลลาร์ (มาเร็วมากเลยเอามาลงให้ดูเพิ่ม)
ไปดูธุรกิจของ แอนท์ กรุ๊ป กันต่อนะครับ ออนไลน์ไฟแนนซ์ถือเป็นแฟล็กชิปของแอนท์เลยทีเดียว คนจีน 1,400 ล้านคนใช้บัตรเครดิตกันน้อยมาก ไม่เหมือนคนตะวันตก คนจีนส่วนใหญ่จะใช้บริการจ่ายเงินอ่านแอป บริษัทวิจัยเบิร์นสไตน์เปิดเผยว่า ปี 2018 คนจีนใช้จ่ายเงินผ่านอุปกรณ์โมบายสูงถึง 67 ล้านล้านดอลลาร์ กว่า 2,120 ล้านล้านบาท ผ่านสองค่ายใหญ่ Alipay ของ Alibaba และ WeChat ของ Tencent
อาลีเพย์ เปิดเผยว่า เขามีลูกค้าในจีน 900 ล้านยูสเซอร์ เมื่อลูกค้าเข้ามาใช้บริการจ่ายเงินและซื้อสินค้าในอาลีเพย์แล้ว แอนท์จะเสนอบริการอื่นๆ ผ่านแอปให้อีกมากมาย รวมทั้งสินเชื่อบุคคล ปี 2019 อาลีเพย์มียอดธุรกรรมการเงินผ่านแอปสูงถึง 16 ล้านล้านดอลลาร์ กว่า 506 ล้านล้านบาท เป็น สินเชื่อบุคคลและธุรกิจขนาดเล็กกว่า 260,000 ล้านดอลลาร์ 8.3 ล้านล้านบาท และ การลงทุนอีก 500,000 ล้านดอลลาร์ กว่า 15.8 ล้านล้านบาท
ไปดูความใหญ่โตของบริษัทยักษ์ใหญ่โลกแล้ว ประเทศที่มีจีดีพี 17 ล้านล้านบาทอย่างไทย ถือเป็นบริษัทที่มีขนาดเล็กมาก เล็กขนาดนี้รัฐบาลจากทหารก็ยังบริหารจัดการให้ดีไม่ได้ มีเงินท่วมตัก แต่ใช้แก้ปัญหาของประชาชนไม่เป็น แก้ปัญหาของประเทศไม่ได้ เห็นแล้วก็เสียดายและสงสารคนไทยที่กำลังลำบากหลายสิบล้านคน.
“ลม เปลี่ยนทิศ”