คงไม่เกินที่จะกล่าวว่า ปี 2563 เป็นปีทองของราคาทองคำ หลังทองคำทั้งในตลาดโลกและในประเทศทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High)
ส่งผลให้การลงทุนทองคำปีนี้สามารถสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้นักลงทุนมากกว่า 37% สูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ โดยราคาทองคำในตลาดโลก (Gold Spot) ขึ้นไปสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่แห่งวงการทองคำที่ระดับ 2,075 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ทุบสถิติสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้เมื่อ 9 ปีก่อน เมื่อ 5 ก.ย.54 ที่ระดับ 1,920 เหรียญฯ
ขณะที่ราคาทองคำในประเทศเพิ่มขึ้น 40% ทะยานขึ้นไปสูงสุดเหนือระดับ 30,400 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ!! สร้างความคึกคักไปทั้งย่านเยาวราช ถนนสายทองคำของประเทศไทย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างโดดเด่นเหนือสินทรัพย์อื่นๆ ในฐานะที่เป็น Safe-Haven หรือสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและมีความปลอดภัยสูง คือการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ที่ลุกลามไปทั่วโลกตั้งแต่ต้นปี และจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ หลายประเทศเกิดการแพร่ระบาดรอบ 2 ล่าสุดมียอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกสูงกว่า 21 ล้านคน
ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกหดตัวลงอย่างรุนแรงจากการที่ประเทศต่างๆ “ชัตดาวน์ ปิดประเทศ” หยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อหยุดการแพร่ระบาด หยุดการค้าขาย การท่องเที่ยวและการเดินทางไปมาระหว่างกัน ประเทศต่างๆทั่วโลก ต้องใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินการคลัง เพื่อพยุงเศรษฐกิจ โดยอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบ ทำให้อัตราดอกเบี้ยต่ำและมีสภาพคล่องในระบบสูง
ขณะที่สหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก มีจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากที่สุดในโลกได้รับผลกระทบหนักสุดจนธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องเข้าพยุงเศรษฐกิจด้วยการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน (QE) โดยอัดฉีดเงินเข้าระบบมากที่สุด อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เฟดปรับลดดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 0-0.25% ในเดือน มี.ค. และ อัดฉีดเม็ดเงินผ่านมาตรการ QE เพื่อกระตุ้นธุรกิจและเข้าซื้อพันธบัตร เป็นสาเหตุให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จาก Dollars index ซึ่งเป็นตัวสะท้อนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากที่เคยขึ้นไปสูงสุด 102.99 จุด เมื่อเดือน มี.ค.63 อ่อนค่าและร่วงลงอย่างรุนแรงมาแถว 92.52 จุด ต่ำสุดในรอบ 2 ปีในเดือน ก.ค.
เมื่อค่าเงินหรือมูลค่าสินทรัพย์ของยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯด้อยค่าลง จึงผลักดันให้เม็ดเงินทั่วโลกไหลเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงอย่าง “ทองคำ” กระตุ้นให้ราคาทองคำทะยานขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและร้อนแรงนับแต่นั้น โดยมีตัวเร่งสำคัญคือความตึงเครียดของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯที่บานปลายและไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ
แม้ช่วงที่ผ่านมาทองคำจะถูกขายทำกำไรออกมา หลังมีข่าวการเปิดตัววัคซีนป้องกันโควิดของรัสเซีย และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯบางตัวออกมาดีกว่าที่คาด กดให้ราคาทองคำไหลร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 1,800 เหรียญฯต้นๆ ก่อนที่ล่าสุดจะผงกหัวขึ้น (15 ส.ค.63) มาอยู่ที่ 1,948 เหรียญฯ
จึงมีคำถามว่าเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดทองคำจนทำให้ราคาทองคำเปลี่ยนเป็น “ขาลง” แล้วหรือ...และทองคำจะมีโอกาสทะยานกลับขึ้นไปต่อจนได้เห็นระดับ 3,000 เหรียญฯหรือไม่??!!
คำแนะนำสำหรับคนที่มีทองคำอยู่ในมือควรทำอย่างไร จะขายทิ้งหรือถือต่อ ส่วนคนที่อยากซื้ออยากลงทุนทองคำจะยังซื้อได้หรือไม่ ซื้อแล้วจะถือ “ติดดอย” เหมือน 9 ปีที่แล้ว ที่ทองคำขึ้นมาทำไฮ แล้วไหลร่วงลงมา ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 9 ปีกว่าจะกลับมาที่เดิมและทะยานเหินฟ้าสร้างจุดสูงสุดใหม่ในครั้งนี้
ขณะที่สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลกล้วนมองราคาทองผ่องอำไพ โดย JP Morgan มองว่าระยะสั้นทองคำมีโอกาสกลับขึ้นไปที่ 2,100 เหรียญฯ ส่วน Goldman Sachs ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำในอีก 12 เดือนว่าจะไปถึง 2,300 เหรียญฯ ด้าน Bank of America มาเหนือใคร ประเมินว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นไปสูงถึง 3,000 เหรียญฯ ภายใน 18 เดือนข้างหน้านี้!!
“ทีมเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ได้พูดคุยกับ “กูรู” ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ของประเทศ เพื่อเปิดมุมมองและคำแนะนำในการลงทุนทองคำ
นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทห้างทองแม่ทองสุก เอ็มทีเอส โกลด์ (MTS)
จากการวิเคราะห์เบื้องต้นการที่ราคาทองคำดีดตัวขึ้นอย่างรุนแรงช่วงเดือน ก.ค.ย่อมนำมาสู่การปรับฐานที่รุนแรงเช่นกันเห็นได้จากราคาทองคำที่ปรับตัวลงรุนแรงกว่า 200 เหรียญฯ ภายใน 4 วันทำการ น่าจะเป็นการปรับฐานมากกว่าการเปลี่ยนเป็นทิศทาง “ขาลง” เพราะปัจจัยพื้นฐานจากการอัดฉีด QE และการใช้นโยบายดอกเบี้ยระดับต่ำศูนย์ของสหรัฐฯ น่าจะมีอยู่ถึงปี 65 เป็นอย่างน้อย นั่นหมายความว่าแนวโน้ม “ขาขึ้น” ของทองคำยังคงอยู่
ในเชิงวิเคราะห์การลงทุน จะเห็นว่าราคาทองคำที่ปรับฐานรุนแรงเป็นเรื่องที่ดีสำหรับตลาด ก่อนที่จะกลับขึ้นไปใหม่ที่สูงสุดเดิม 2,075 เหรียญฯ
ส่วนทองคำยังน่าลงทุนหรือไม่นั้น “คุณหมอทองคำ” บอกว่านักวิเคราะห์ในโลก มองทองคำยังเป็น Safe-Haven ที่ดี ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และความตึงเครียดทางทหารในคาบสมุทรตะวันออกกลาง รวมถึงวิกฤติไวรัสโควิด-19 ที่ถึงแม้จะค้นพบวัคซีนในการรักษา ที่รัสเซียอ้างตัวเป็นผู้ขึ้นทะเบียนวัคซีนรายแรกของโลก แต่ยังไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง คาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกอย่างเร็วที่สุดคือ ม.ค.64
ดังนั้น คาดว่าราคาทองคำน่าจะปรับฐานช่วงเดือน ส.ค. และปรับตัวขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 2,075 เหรียญฯ ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นเหนือระดับดังกล่าวไปได้ในช่วงปลายปี และน่าจะมีโอกาสเห็นราคาทองคำที่ 2,200 เหรียญฯ เท่ากับทองในประเทศบาทละ 31,800 บาทนั่นเอง!!
ขณะที่สถาบันการเงินรายใหญ่ระดับโลก ต่างมีมุมมองเป็นบวกต่อราคาทองคำปี 64 ว่ามีโอกาสเห็นราคาปรับขึ้นได้ตั้งแต่ 2,500-4,000 เหรียญฯ ท่ามกลางสมมติฐานว่าเฟดยังคงดอกเบี้ยระดับต่ำศูนย์ต่อไป พร้อมการอัดฉีดเม็ดเงินผ่าน QE อย่างต่อเนื่อง
ทยอยซื้อเก็บเมื่อราคาอ่อนตัว
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน เพราะมองว่าราคาทองยังไปต่อได้ คนไม่มีทองอยู่ในมือแนะให้ทยอยซื้อเก็บเมื่อราคาอ่อนตัวที่ 1,920-1,940 เหรียญฯ ราว 25% ของพอร์ตที่จะลงทุนทองคำ หากราคายังลงต่อให้รอซื้อที่ 1,900-1,920 เหรียญฯอีก 25% และถ้ายังลงอีกให้ซื้อที่เหลือเต็มพอร์ต 100% ที่ระดับ 1,860-1,870 เหรียญฯ ส่วนเป้าหมายราคาขาย ให้ขายทำกำไรได้ตั้งแต่ 2,000 เหรียญฯขึ้นไป
สำหรับคนที่มีทองอยู่แล้ว และมีกำไรแล้ว จะขายหรือไม่ขายก็ได้ ถือเป็นความพอใจ อาจแบ่งมาขายส่วนหนึ่ง 20-30% เพื่อรับรู้กำไรและสร้างความสุขส่วนตัว โดยขายได้ตั้งแต่ 1,950 เหรียญฯขึ้นไป
ส่วนนักลงทุนที่เน้นซื้อขายเก็งกำไร และมีทองอยู่ สามารถทยอยขายเมื่อราคาปรับขึ้นตั้งแต่ 1,980 ถึง 2,000 เหรียญฯ และรอซื้อคืนเมื่อราคาอ่อนลงต่ำกว่านี้ ให้เป้าปลายปี 63 ที่ 2,100 เหรียญฯเป็นอย่างต่ำ
“ปีหน้าราคาไม่น่าถึง 3,000 เหรียญฯ แต่อนาคตไกลกว่านั้นไม่แน่ ตัวผลักดันราคาทองคำคือ หากวัคซีนป้องกันโควิดล้มเหลว ซึ่งมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้จะทำให้ราคาทองไปไกลเลย หรือหากเกิดฟองสบู่แตกในสหรัฐฯ เพราะวิกฤติครั้งนี้เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ขณะที่สหรัฐฯปีนี้แย่กว่าวิกฤติปี 2008”
สำหรับความเสี่ยงที่จะทำให้ราคาทองปรับตัวลง คือหากค้นพบวัคซีนที่มีผลป้องกันได้ดี ราคาทองอาจไหลลงมาถึง 1,750 เหรียญฯ ซึ่งระดับนี้น่าจะ “เอาอยู่” เพราะเป็นราคาเดิมก่อนที่จะขึ้นหนักๆ มาที่ 2,000 เหรียญฯ
ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง
มองราคาทองคำยังเป็น “ขาขึ้น” การปรับลงในช่วงสั้นๆ หลายวันก่อน เกิดจากแรงเทขายทำกำไร หลังปรับขึ้นมาร้อนแรง ราคาลงช่วงนี้จึงเป็นการปรับฐานเท่านั้น!!
ส่วนทองคำจะไปได้ถึง 3,000 เหรียญฯหรือไม่นั้น “ธนรัชต์” กล่าวว่า การหามูลค่าที่เหมาะสมของทองคำไม่มีทฤษฎีตายตัว ในต่างประเทศมีการทำแบบจำลองเพื่อประเมินราคาทองคำ ซึ่งมีหลายตัวแปรประกอบ ได้แก่ ค่าเงินดอลลาร์ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ ปริมาณเงินในระบบ ขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ และหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เป็นต้น
สำหรับมุมมองของฮั่วเซ่งเฮง ให้ความสำคัญกับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพราะสถิติในอดีต พบว่าหนี้สาธารณะของสหรัฐฯยิ่งสูง ราคาทองคำก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย มีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ขณะนี้อยู่ที่ 26.6 ล้านล้านเหรียญฯ จะได้ราคาทองคำที่เหมาะสมที่ 2,400–2,500 เหรียญฯ
ส่วนการประเมินราคาทองวิธีอื่นๆ เช่น ความผันผวนของราคาทองคำ ซึ่งปีนี้มีความผันผวนสูงมาก ถ้ากำหนดค่าความผันผวนที่ 35% จะได้ราคาทองคำที่เหมาะสม 2,050 เหรียญฯ และวิธีสุดท้ายคือดูจากสถิติราคาในปี 54 ดังนั้นจะได้กรณีที่ดีที่สุดของราคาทองคำปีนี้ จะขึ้นไปสูงสุดที่ 2,200 เหรียญฯ หรืออยู่ที่บาทละ 32,500 บาท
วิกฤติหนี้สาธารณะสหรัฐฯดันราคาทอง
ดังนั้นมองว่าปีนี้ราคาทองคำจะยังขึ้นไปไม่ถึง 3,000 เหรียญฯ แต่ปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯในอนาคต จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนราคาทองคำในระยะยาวได้ โดยหากย้อนหลังไปปี 54 ที่สถาบันจัดอันดับเครดิต “เอสแอนด์พี” ปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐฯครั้งแรกในประวัติศาสตร์จาก AAA เป็น AA+ ผลักดันให้ราคาทองคำขึ้นไปจุดสูงสุดที่ 1,920 เหรียญฯ ซึ่งมาจากความเสี่ยงการคลังของสหรัฐฯ
และวิกฤติโควิดรอบนี้ อาจนำไปสู่วิกฤติหนี้สาธารณะ เนื่องจากสหรัฐฯได้ใช้งบประมาณวงเงิน 3 ล้านล้านเหรียญฯ เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และยังเตรียมออกมาตรการทางเศรษฐกิจรอบใหม่วงเงิน 1 ล้านล้านเหรียญฯ หากสหรัฐฯโดนลดเครดิตลงอีกรอบ อาจดันให้ทองคำปรับขึ้นร้อนแรงได้อีกระลอก!!
นอกจากนี้ ทองคำยังมีปัจจัยหนุนจากมาตรการผ่อนคลายทางการคลังและการเงินทั่วโลก รวมทั้งความตึงเครียดของสงครามการค้าจีนกับสหรัฐฯและการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยไม่ว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” หรือ “โจ ไบเดน” ชนะเลือกตั้งจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำทั้งสิ้น เนื่องจากนโยบายของ “ไบเดน” ไม่เอื้อต่อภาคธุรกิจและคนรวยและยังมีนโยบายเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทั้งการใช้พลังงาน สิ่งแวดล้อมและอื่นๆ ซึ่งต้องใช้งบประมาณอีกมหาศาล หนี้สาธารณะของสหรัฐฯก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น!!
สารพัดปัจจัยเสี่ยงทำราคาผันผวน
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯที่ตึงเครียด ท่ามกลางกระแส “ทรัมป์” กำลังสูญเสียคะแนนนิยม ทำให้ “ทรัมป์” ต้องหากลยุทธ์เพื่อดึงคะแนน และกล่าวโทษการระบาดของโควิด-19 ที่มีต้นตอมาจากจีน ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯตกต่ำ โดยคาดว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนจะตึงเครียดต่อไป จนกว่าจะถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ขณะที่การผ่อนคลายการคลังและการเงินทั่วโลก การใช้ดอกเบี้ยต่ำ และการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเฟดที่ใช้นโยบายการเงินดอกเบี้ยต่ำ 0% และมาตรการ QE วงเงินไม่จำกัด ซึ่งประเมินว่าจะใช้อย่างน้อยไปถึงปีหน้า แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเริ่มฟื้นตัวแล้วก็ตาม ล้วนเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำปรับสูงขึ้นเปิดปัจจัยเสี่ยงกดราคาทอง
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ราคาทองคำร่วงลง “ธนรัชต์” มองว่า ราคาที่ปรับขึ้นรวดเร็ว อาจทำให้เกิดการเก็งกำไรจนเกิด “ภาวะฟองสบู่” ทำให้ต้องระวังแรงเทขาย และมีโอกาสที่จะปรับลงแรง เนื่องจากราคาทองแท่งในประเทศปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 8,800 บาท หรือ 40% ส่วนราคาทอง Spot เพิ่มขึ้น 550 เหรียญฯ หรือ 37% และเพิ่มขึ้นถึง 270 เหรียญฯ หรือ 15% ภายในช่วงเวลาแค่ 3 สัปดาห์
ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจทั่วโลกที่ดีขึ้น อาจทำให้มีแรงเทขายทองคำเพื่อลดความเสี่ยงในบางช่วง รวมทั้งการพัฒนาวัคซีนโควิด ทำให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตปกติและเปิดเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นถ้ามีการผลิตวัคซีนออกมาเป็นจำนวนมากได้เร็ว จะทำให้ทองคำถูกเทขายและเงินจะไหลเข้าตลาดหุ้น!!
ขายทำกำไรเมื่อแตะ 3 หมื่น
คำแนะนำสำหรับคนที่มีทองอยู่แล้ว ให้หาจังหวะขายทำกำไรบางส่วน เมื่อราคาทองแท่งปรับขึ้นเกิน 30,000 บาท หรือราคาทอง Spot ปรับขึ้นไปที่ 2,070-2,100 เหรียญฯ และอีกส่วนยังแนะนำให้ถือต่อ (Let Profit Run) สำหรับการลงทุนระยะยาว เนื่องจากมองราคาทองคำเป็นขาขึ้นอยู่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับคนที่ต้องการลงทุนทองคำ แบ่งเป็น 2 กรณี คือ ผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อลงทุน ยังสามารถซื้อได้ แต่อาจรอให้ราคาทองอ่อนตัวลงมาแล้วค่อยกลับเข้าซื้อ จุดที่แนะให้ซื้อคือระดับ 1,900-1,860 เหรียญฯ และ 1,820-1,840 เหรียญฯ ที่สำคัญอยากให้มองการลงทุนทองคำรอบนี้ ไม่ใช่เพียงเก็งกำไร แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับอนาคต
ส่วนการเก็งกำไรระยะสั้นให้ระมัดระวัง เนื่องจากราคาทองปีนี้มีความผันผวนมากกว่าปกติ ช่วงที่ปรับลงมาแรงๆ ให้ถือเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ และอาจใช้เครื่องมือเพื่อบริหารความเสี่ยงในตลาดสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold future) รวมทั้งผู้ที่ซื้อทองแท่งเพื่อถือระยะยาวด้วย
ธราภุช คูหาเปรมกิจ กรรมการผู้จัดการ บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์
ประเมินราคาทองคำที่เหมาะสม แบบ Conservative (ระมัดระวัง) ปีนี้อยู่ในช่วง 2,050-2,200 เหรียญฯ หรือบาทละ 30,130-32,560 บาท ส่วนราคาทองคำโลกจะไปได้ถึง 3,000 เหรียญฯหรือไม่นั้น ระยะยาวเป็นไปได้สูง แต่อาจต้องใช้เวลา เพราะสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ไม่น่าจะจบง่ายๆ และน่าจะบานปลายเป็นสงครามค่าเงิน รวมทั้งทองคำยังมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่อัดฉีดเงินเข้ามาต่อเนื่อง และกองทุนทองคำ SPRD ได้เพิ่มการถือครองทองคำปี 63 เป็น 1,262 ตัน เพิ่มขึ้นจากต้นปีถึง 367 ตัน
คำแนะนำการลงทุน ถ้ามีทองคำในพอร์ตแล้ว ยังสามารถถือต่อได้ เพราะระยะยาวราคายังเป็นขาขึ้น แต่หากราคาขึ้นถึงราคาเป้าหมายที่ 2,000 เหรียญฯต้นๆ สามารถแบ่งขายทำกำไรได้บางส่วน ส่วนผู้ที่ต้องการซื้อทองคำ ช่วงนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน ให้รอดูสถานการณ์ ให้ราคายืนระยะได้ก่อนหรือนิ่งกว่านี้จึงเข้าซื้อ โดยการลงทุนระยะยาวสำหรับผู้ที่ยังไม่มีทองคำในพอร์ต แนะให้ทยอยเก็บทีละน้อย ช่วงที่ราคาอ่อนตัว
สำหรับการเก็งกำไรระยะสั้น รอซื้อได้ที่ 1,930–1,940 เหรียญฯ หรือบาทละ 28,500 บาท และรอขายทำกำไรที่ 2,075 เหรียญฯ หรือ 30,400 บาท
“นักลงทุนยังทำกำไรระยะสั้นได้ เนื่องจากราคาจะปรับตัวขึ้นลง จากแรงซื้อขายทำกำไรและความผันผวนของค่าเงินสกุลต่างๆ แต่ต้องมีวินัย เนื่องจากราคาทองคำจะยังมีความผันผวนสูง จึงต้องอาศัยวินัยในการซื้อ-ขายและการติดตามข่าวสารทั่วโลกอย่างใกล้ชิด ราคาทองคำมีโอกาสปรับฐาน หากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สิ้นสุดลง หรือค้นพบวัคซีนป้องกันได้ และสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากประเทศต่างๆจะยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมีโอกาสดูดซับเม็ดเงินออกจากระบบได้” ธราภุช กล่าวทิ้งท้าย.
ทีมเศรษฐกิจ
เปรียบเทียบราคาทุกร้าน >>> คลิกที่นี่